ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | การศึกษา |
เผยแพร่ |
กลายเป็นประเด็น หลังที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มีการพิจารณาแก้ไขระเบียบ ศธ.ว่า ด้วยปีการศึกษาการเปิดและปิดภาคเรียน พ.ศ.2549 โดยมีแนวคิดเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1 จากเดิมวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม และเลื่อนวันปิดภาคเรียน จากวันที่ 11 ตุลาคม เป็นวันที่ 30 กันยายน เพื่อให้ตรงกับปีงบประมาณ
ส่วนภาคเรียนที่ 2 ให้เปิดเทอมวันที่ 1 พฤศจิกายน และปิดภาคเรียนเป็นวันที่ 1 เมษายน ตามเดิม…
หากจะว่ากันตามจริง การเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1 ไม่น่าจะกระทบกับการจัดการศึกษาในภาพรวม เท่าที่ดูตามช่วงเวลาแล้ว ขยับช่วงเวลาเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1 มาไม่นาน เด็กได้มีวันหยุดเพิ่มขึ้น ประมาณ 4-5 วัน…
โดยประเด็นนี้ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) อธิบายข้อดี-ข้อเสียว่า การเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนกับช่วงปีงบประมาณ จะเป็นผลดีต่อการบริหารอัตรากำลัง
ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ.ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกว่า 47,467 คน แบ่งเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการศึกษา ฯลฯ พบว่า เห็นด้วย 80.30% ไม่เห็นด้วย 16.91% และอื่นๆ 0.79%
ผู้ที่เห็นด้วย มีเหตุผลดังนี้
1. เพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการภายในสถานศึกษา เนื่องจากสอดคล้องกับปีงบประมาณ สะดวกต่อการบริหารจัดการด้านการเบิกจ่ายอาหารกลางวัน อาหารเสริม (นม) และการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
2. เป็นประโยชน์กับเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1-15 พฤษภาคม สามารถเข้าเรียนได้เลย ไม่ต้องรอเข้าเรียนในปีการศึกษาถัดไป
3. เพื่อให้สะดวกต่อการบริหารอัตรากำลัง เนื่องจากการเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน แต่เดิมกำหนดปิดภาคเรียนในวันที่ 11 ตุลาคม
4. เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา
5. เพื่อให้นักเรียนชั้น ม.3 และ ม.6 มีโอกาสแก้ผลการเรียนให้จบทันปีการศึกษา โดยการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้นักเรียนที่มาแก้ผลการเรียนดำเนินการได้สะดวกกว่าการที่โรงเรียนเปิดวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นการลดความเลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้จบการศึกษาเพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย ดังนี้
1. ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีสภาพอากาศร้อนไม่เหมาะสมต่อการจัดกิจกรรมหรือการจัดการเรียนการสอน
2. ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน ส่งผลให้ต้องหยุดเรียน อาทิ วันแรงงาน วันฉัตรมงคล วันพืชมงคล วันวิสาขบูชา
3. การปรับเปลี่ยนวันเปิดภาคเรียนเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการเท่านั้น ไม่ส่งผลประโยชน์ต่อผู้เรียน
4. การเปิดและปิดภาคเรียนแบบเดิมมีความเหมาะสม
“ที่ประชุมส่วนใหญ่ ค่อนข้างเห็นด้วยกับการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1แต่ยังมีความกังวลเรื่องของการนับอายุเด็ก ซึ่งก็จะต้องนำความคิดเห็นที่ได้ไปทบทวน รวมถึงยังต้องมีการศึกษาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะหากประกาศใช้ระเบียบใหม่ ทุกหน่วยงานในสังกัด ศธ.ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็น สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา (สอศ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ดังนั้น ต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความรอบคอบ” ว่าที่ร้อยตรีธนุกล่าว
ขณะที่ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) กล่าวคล้ายกันว่า หากมีการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1 จริง สกร.ก็พร้อมที่จะดำเนินการตาม เนื่องจากการจัดการเรียนการสอน และการเปิด-ปิดภาคเรียนของสถานศึกษาสังกัด สกร. จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับ สพฐ. และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรณีเด็กต้องการเรียนต่อในสังกัด สพฐ. หรือ สอศ. ทั้งนี้ การเรียนการสอนของสถานศึกษาในสังกัด สกร. ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นอยู่แล้ว ดังนั้น หากมีการปรับการเปิด-ปิดภาคเรียน ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา และคิดว่าไม่กระทบกับการเรียนการสอน
แต่ทั้งหมดนี้ต้องรอดูรายละเอียดและข้อสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ด้าน นายศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.) มองว่า ตามระเบียบ มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาเอกชนเป็นผู้พิจารณาเลือกวันเปิดและปิดภาคเรียนได้อยู่แล้ว ซึ่งในปัจจุบันสถานศึกษาเอกชนหลายแห่งกำหนดเปิดเรียนในวันที่ 1 พฤษภาคม และวันอื่นๆ ตามความพร้อมของแต่ละโรงเรียน แต่หากจะมีการปรับก็เห็นด้วย เพื่อจะได้ตรงกับปีงบประมาณ
“การเลื่อนปิดภาคเรียนให้ตรงกับวันที่ 30 กันยายน เป็นสิ่งที่ดีอย่างมาก เพราะการปิดตรงกับปีงบประมาณทำให้การบริหารจัดการมีความง่ายมากยิ่งขึ้น การดำเนินการบางอย่าง หากมีการข้ามปีงบประมาณไปแล้ว จะมีความยุ่งยากทำให้ต้องเสียเวลา และอาจส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาโดยตรง ทั้งนี้ การให้อำนาจผู้บริหารสถานศึกษาในการตัดสินใจเลือกวันเปิด-ปิดภาคเรียนจะเป็นการกำจัดข้อเสียในเรื่องของบริบทตามพื้นที่สถานศึกษาออกไปได้ เนื่องจากสถานศึกษาแต่ละแห่งอาจจะมีความจำเป็นในการเปิด-ปิดภาคเรียนที่แตกต่างกัน เช่น เรื่องของสภาพอากาศ และความต้องการของผู้ปกครอง เป็นต้น” นายศุภเสฏฐ์กล่าว
หากมีการประกาศใช้ระเบียบการเปิด-ปิดภาคเรียนฉบับใหม่จริงจะส่งผลในภาพรวมของโรงเรียนเอกชนอย่างแน่นอน เนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศจะต้องปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว แต่คงจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้เนื่องจากต้องมีการรวบรวมความคิดเห็นจากอีกหลายฝ่ายเพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อระบบการศึกษาทุกภาคส่วน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้โรงเรียนได้มีเวลาในการวางแผนมากยิ่งขึ้นหากระเบียบถูกบังคับใช้จริง
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ยังไม่ถือเป็นข้อสรุป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องทบทวนข้อดี ข้อเสีย ก่อนดำเนินการ
แต่การจะปรับเปลี่ยนอะไรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ควรต้องยึดประโยชน์ของนักเรียนและคุณภาพการศึกษา เป็นสำคัญ •
| การศึกษา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022