ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พื้นที่ระหว่างบรรทัด |
ผู้เขียน | ชาตรี ประกิตนนทการ |
เผยแพร่ |
พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ
พิพิธภัณฑสถานสร้างชาติ (2)
แม้ว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการในปี พ.ศ.2433 ได้ริเริ่มแนวคิดการพัฒนา “พิพิธภัณฑ์วังหน้า” ให้ทันสมัยมากขึ้นทั้งรูปแบบและเนื้อหาการจัดแสดง มีการส่งข้าราชการไปดูงาน ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมทั้งจัดทำรายงานการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ครั้งใหญ่
แต่กว่าที่แนวคิดดังกล่าวจะถูกนำมาปฏิบัติจริง ก็ล่วงมาถึงในช่วงปลายทศวรรษ 2460 (ซึ่งจะกล่าวละเอียดต่อไปข้างหน้า)
อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้ริเริ่มนำแนวคิดการจัดแสดงแบบ “พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่” ไปทดลองใช้กับพิพิธภัณฑสถานของท้องถิ่นต่างๆ ที่พระองค์ผลักดันให้ก่อตั้งขึ้นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2435
ต้องเข้าใจร่วมกันก่อนนะครับว่า พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ ณ ช่วงเวลานั้น หมายถึง การเปลี่ยนสิ่งของจัดแสดง จากที่เน้นของสะสมประเภทเครื่องราชบรรณาการ ของแปลก และซากสัตว์ ที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ มาสู่การจัดแสดง “ศิลปวัตถุ” และ “โบราณวัตถุ” ที่ทำหน้าที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ เก่าแก่ และมีอารยธรรมของ “รัฐ” แทน
เมื่อ “ศิลปวัตถุ” และ “โบราณวัตถุ” คือเป้าหมายใหม่ของวัตถุจัดแสดง ความเปลี่ยนแปลงมหาศาลย่อมเกิดขึ้น แม้ของสะสมเดิมหลายอย่างสามารถเปลี่ยนคำอธิบายและความหมายมาสู่รูปแบบการจัดแสดงใหม่ได้ เช่น เครื่องราชบรรณาการที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของรัฐ พระพุทธรูปงดงามที่สะท้อนอารยธรรมอันสูงส่งของรัฐ
แต่กระนั้น ก็มีสิ่งจัดของเป็นจำนวนมหาศาลที่ต้องถูกโละทิ้ง ไม่เข้ากับเป้าหมายใหม่ และไม่สามารถจัดแสดงได้อีกต่อไป เช่น ซากสัตว์ และของแปลก
ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงนี้ ได้นำมาสู่การค้นหา “ศิลปวัตถุ” และ “โบราณวัตถุ” อย่างเป็นระบบระเบียบในประเทศสยามครั้งแรก ซึ่งเริ่มต้นราวกลางทศวรรษ 2430 (อาจมีบ้างก่อนหน้านั้น แต่ยังไม่มีนัยยะสำคัญมากนัก) ที่ต่อมาจะขยายตัวกลายมาเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีแบบสมัยใหม่ตามที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

กระบวนการนี้ริเริ่มจาก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ หลังจากที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยทรงกำหนดให้ สมุหเทศาภิบาล ในมณฑลต่างๆ ซึ่งเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและต้องมีหน้าที่ดูแลพื้นที่ต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรอยู่แล้ว ทำหน้าที่อีกอย่างควบคู่กันไปคือ การสังเกต สอดส่อง บันทึก รวบรวมโบราณวัตถุสำคัญที่มีอยู่ในแต่ละมณฑล และนำมาจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ในยุคแรกยังไม่มีการสร้างขึ้นเป็นสถานที่เฉพาะ เกือบทั้งหมดเป็นการใช้วัดสำคัญๆ ทำหน้าที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ (ยังไม่เน้นการจัดแสดงให้คนมาเที่ยวชมมากนัก) เช่น วัดพระปฐมเจดีย์ วัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก เป็นต้น บางแห่ง เช่น มณฑลกรุงเก่า (อยุธยา) ใช้พื้นที่พระราชวังจันทรเกษม เป็นที่เก็บรวบรวม
ตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ยุคแรกที่ควรกล่าวถึงคือ พระปฐมเจดีย์ โดยใน พ.ศ.2438 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงมอบหมายให้ เจ้าพระยาศรีวิไชยชนินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครชัยศรี ทำการรวบรวมโบราณวัตถุในแขวงมณฑลนครไชยศรี มาเก็บรักษาไว้บริเวณระเบียงคตรอบ “พระปฐมเจดีย์”
ต่อมาใน พ.ศ.2454 ได้เคลื่อนย้ายวัตถุเข้ามาเก็บรักษาบริเวณวิหารด้านตรงข้ามพระอุโบสถแทน และมีการตั้งชื่อวิหารหลังนี้ใหม่ว่า “พระปฐมเจดีย์พิพิธภัณฑสถาน”
ความสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ โบราณวัตถุที่เก็บรักษาที่นี่ ต่อมาได้กลายมาเป็นหลักฐานกลุ่มสำคัญในการสร้างนิยามของสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะทวารวดี” ในเวลาต่อมา
แม้ชนชั้นนำสยามจะรับรู้เมืองนครปฐมว่าเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ยาวนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระองค์ทรงอธิบายว่า “พระปฐมเจดีย์” คือเจดีย์แห่งแรกในสยาม แต่กระนั้นนิยามของศิลปะทวารวดีก็ยังมิได้เกิดขึ้น
แม้กระทั่งในปี พ.ศ.2452 ซึ่งมีการตีพิมพ์รายงานการสำรวจของ พันตรีเดอลาจองกีเยร์ (de la Jonqui?re) ที่มีการขุดค้นพบพระพุทธรูปปางแสดงธรรมและธรรมจักรศิลา รวมถึงการพบพระพุทธรูปประทับห้อยพระบาทที่ถ้ำเขางู จ.ราชบุรี แต่ก็ยังเป็นการเรียกว่า “ศิลปะฮินดู (ไม่ใช่เขมร)”
แต่ด้วยโบราณวัตถุที่ค้นพบต่อมาจำนวนมากที่รวบรวมเก็บไว้ ณ “พระปฐมเจดีย์พิพิธภัณฑสถาน” (รวมถึงข้อมูลทางวิชาการด้านอื่นด้วย) จึงทำให้ “ศิลปะทวารวดี” ถือกำเนิดขึ้น ในฐานะงานศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดยุคสมัยแรกของสยาม
เราอาจกล่าวในอีกทางหนึ่งได้ว่า วัตถุจัดแสดงในพระปฐมเจดีย์พิพิธภัณฑสถานคือกลุ่มหลักฐานสำคัญในการสร้างความคิดที่ว่าด้วยดินแดนประเทศสยามมีความเก่าแก่ของบ้านเมืองและการก่อรูปของรัฐมาอย่างยาวนาน อย่างน้อยก็ย้อนกลับไปได้เป็นพันๆ ปี
ที่สำคัญคือ เป็นเมืองที่มีอารยธรรมสูงมากจากการรับพุทธศาสนามาจากอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนจากโบราณวัตถุศิลปะทวารวดีที่รวบรวมไว้ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้

ที่มา : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
อีกแห่งที่น่าสนใจคือ “อยุธยาพิพิธภัณฑสถาน” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงแนะนำให้ พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า รวบรวมโบราณวัตถุสิ่งของสำคัญในบริเวณกรุงเก่าและใกล้เคียงมาเก็บรักษาไว้ที่พระราชวังจันทรเกษมตั้งแต่เมื่อราว พ.ศ.2440
ต่อมาใน พ.ศ.2445 ก็ได้ทำการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งโบราณวัตถุที่เก็บรักษา ณ ที่นี้ได้กลายเป็นหลักฐานกลุ่มสำคัญกลุ่มหนึ่งที่ทำให้พระองค์สามารถกำหนดยุคสมัยศิลปะอยุธยาออกเป็น 4 ยุคสมัยตามที่ปรากฏใน “ตำนานพุทธเจดีย์สยาม” (ตำราประวัติศาสตร์ศิลปะเล่มสำคัญ) ในเวลาต่อมา
ในส่วนลพบุรีก็ไม่ต่างกัน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้ทรงแนะนำให้มีการรวบรวมโบราณวัตถุในอาณาบริเวณนั้นมารักษาไว้ที่ “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” จนสามารถที่จะจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นในที่สุดเมื่อ พ.ศ.2466 เรียกว่า “ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน” และแน่นอนว่า สิ่งของวัตถุที่รวบรวมอยู่ในพิพิธัณฑ์แห่งนี้ได้กลายมาเป็นกลุ่มหลักฐานที่มีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดนิยาม “ศิลปะลพบุรี” ต่อมา
กรณีพิพิธภัณฑ์เมืองลำพูน พระยาราชนกุลวิบูลย์ภักดี (อวบ เปาโรหิต) สมุหเทศาภิบาล มณฑลพายัพ ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่หลักประการหนึ่ง คือ เสาะหาและรวบรวมโบราณวัตถุที่มีอยู่มากมายในภาคเหนือของสยามมาเก็บไว้ ซึ่งต่อมา เมื่อมีโบราณวัตถุมากพอก็ได้ก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470 และมีส่วนไม่มากก็น้อยต่อการศึกษาและกำหนดนิยาม “ศิลปะเชียงแสน”
นครศรีธรรมราชก็เกิดขึ้นในลักษณะไม่ต่างกัน โดยมีการมอลหมายให้สมุหเทศาภิบาลเป็นผู้รวบรวมและจัดตั้งขึ้นภายใต้คำแนะนำของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชุดหลักฐานในการก่อรูปแนวคิด “ศิลปะศรีวิชัย”
ในบรรดาตัวอย่างพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ยุคแรก แห่งที่สำคัญที่สุด เป็นการก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ และเริ่มมีการคำนึงถึงการจัดแสดงมากขึ้น (ไม่ใช่แค่เป็นสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุในลักษณะที่ไม่แตกต่างนักจากห้องเก็บของ) คือ วัดเบญจมบพิตรฯ ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างขึ้นใหม่เป็นวัดประจำพระราชวังดุสิต โดยกำหนดให้ระเบียงคตของวัดทำหน้าที่เป็น “มิวเซียม” สำหรับจัดแสดงพระพุทธรูปที่สำคัญทั่วราชอาณาจักร
พระพุทธรูปที่นำมาจัดแสดงภายในระเบียงคต มาจากการคัดเลือกและรวบรวมมาจากทั่วสยาม โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ภายใต้การสนับสนุนจากข้าราชการมณฑลเทศาภิบาลต่างๆ มีเกณฑ์ในการคัดเลือกทั้งในแง่ของขนาดที่ไล่เลี่ยกัน ฝีมือช่างที่สวยงาม และมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
ในปาฐกถาแก่สมาชิกสยามสมาคม ณ วัดเบญจมบพิตรฯ ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ.2470 ความตอนหนึ่งพูดถึงการคัดเลือกพระพุทธรูปว่า
“…บรรดาพระพุทธรูปสำหรับจะประดิษฐานไว้ ณ วัดนี้ ควรจะเลือกหาพระพุทธรูปโบราณซึ่งสร้างขึ้นในประเทศและในสมัยต่างๆ กัน อันเป็นของดีงามมีอยู่เป็นอันมาก รวบรวมมาตั้งแสดงให้มหาชนเห็นเป็นแบบอย่างพระพุทธรูปต่างๆ โดยทางตำนาน จึงโปรดให้สร้างพระระเบียงขึ้นในวัดนี้ และโปรดให้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะคิดจัดหาพระพุทธรูปแบบต่างๆ มาตั้งในพระระเบียงตามพระราชดำริ…”
การริเริ่มพิพิธภัณฑ์แบบสมัยใหม่ในมณฑลต่างๆ (รวมถึงวัดเบญจมบพิตรฯ) ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2430 ถึงทศวรรษ 2460 คือการวางรากฐานทางความคิดที่สำคัญที่จะนำมาสู่การปรับปรุงการจัดแสดงครั้งใหญ่ของ “พิพิธภัณฑ์วังหน้า” ในสมัยรัชกาลที่ 7
ปลายทศวรรษ 2460 รัชกาลที่ 7 พระราชทานพระราชมณเฑียรใน “วังหน้า” ทั้งหมดสำหรับการปรับปรุงนี้ พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร” โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ “ราชบัณฑิตยสภา” ซึ่งขณะนั้นมี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา และ ยอร์ช เซเดส์ เป็นเลขานุการ
ทั้งสองท่านเข้ามารับผิดชอบการปรับปรุงการจัดแสดง โดยปรับจากสถานที่รวมของแปลก ซากสัตว์ ที่ผสมไปกับโบราณวัตถุ มาสู่การเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ที่จัดแสดงศิลปวัตถุและโบราณวัตถุสำคัญของสยาม ตามแบบที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ในพิพิธภัณฑ์หัวเมืองต่างๆ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022