มาเลย์ขี้นก | เรื่องสั้น : วาริส วารินทร์กวี

เรื่องสั้น | วาริส วารินทร์กวี

มาเลย์ขี้นก

 

เสียงเคาะประตูห้องดัง ปัง ปัง ดาวูด ขยี้ตาแรงๆ สองครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นในความมืด จริงๆ เขาควรจะคุ้นชินได้แล้ว แต่กระนั้นดาวูดก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี

ไก่แจ้ยังไม่ทันตื่น แต่คนต้องตื่นมาทำละหมาดตอนตีห้า แน่ล่ะอุสหมานเคร่งครัดนักเรื่องละหมาดตรงเวลา ไม่เว้นแม้แต่ลูกเขยอย่างดาวูด ผู้เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านหลังนี้

บ้านชั้นเดียว ฉาบด้วยปูนซีเมนต์หยาบๆ มีคานไม้จากต้นสะเดาเทียม มุงหลังคาใยหิน มีต้นลองกองสองต้นยืนเป็นองครักษ์หน้าบ้าน ทางขวาของบ้านปลูกพริกและตะไคร้เป็นแถว ถัดไปเป็นถนนสำหรับผู้คนคนสัญจรไปมา ตรงมุมของสามแยกเล็กๆ มีป้ายระบุว่าอีกสิบห้ากิโลเมตรจะถึงประเทศมาเลเซีย ส่วนทางด้านซ้ายของบ้านมีบ้านเล็กๆ เล็กกว่าบ้านอุสหมานครึ่งหนึ่ง คือบ้านของอาคิส ลูกชายคนแรกของอุสหมานกับเจ๊ะไบล๊ะ ห่างออกไปจากหลังบ้านคือคลองโต๊ะเสด บริเวณใกล้ๆ นั้นมีภูเขาปูนหินเล็กๆ ปักอย่างทะมึนคล้ายเต่ายักษ์นอนหลับ บริเวณพื้นที่ราบลุ่ม ชาวบ้านเรียกว่า ‘นาโต๊ะโด’

หลังละหมาดซุบฮิเสร็จแล้ว ดาวูดมีความหวังอยากนอนต่ออีกสักงีบ เพราะภรรยาเข้าครัวซึ่งอยู่ท้ายบ้าน ทำให้เขารู้สึกว่าเวลานี้เป็นของเขา แต่ทันใดที่หัวของเขาถึงหมอนเท่านั้นแหละ นกกรงหัวจุกตัวเก่งของบังอาคิสก็เริ่มบรรเลงเพลงขันทันที เจ้านกแสนรักเริ่มขันกระชั้นขึ้นอีก เมื่อแสงแดดแรกแตกดอกอ่อนๆ ทาบทาทั่วกรงไม้

“แล้วหลาวน้อ” เขาบ่นอย่างสำรวมอยู่บนเตียง ซึ่งแน่นอนไม่มีใครได้ยิน เช้านี้เป็นอีกเช้าที่โชคไม่ดีนักอุสหมานกับเจ๊ะไบล๊ะไม่กรีดยาง จึงเกิดเสียงต่างๆ นานา ทั้งเสียงโครมครามจากห้องครัว เสียงบรรยายหลักธรรมศาสนาเป็นภาษามลายู เสียงงึมงำของคนในดังตีกัน ตั้งแต่ขอบฟ้าเริ่มระบายสีทองเข้ม

ดาวูดลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปนั่งจับเจ่าบนม้าหินอ่อนใต้ต้นลองกอง ชายหนุ่มสังเกตว่าแดดแรกของยามเช้าแม้ไม่ร้อน แต่กลับมีพลังพอที่จะทำให้สายหมอกจางหายไป

ดาวูดย้อนระลึกถึงครั้งที่เขาแต่งานกับนัสเราะห์ สาวสวย เรียนเก่งมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนปอเนาะท่านา เธอได้เกรดการเรียนดีมาโดยตลอดจนกระทั่งเข้ามหา’ลัยที่สงขลา จบมาก็สอบรับราชการท้องถิ่น ในตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการได้ทันที

เขาคบหากับเจ้าสาวเพียงเดือนเศษจึงตกลงปลงใจแต่งงานให้ถูกต้องตามหลักศาสนา ดาวูดรับราชการครูในโรงเรียนชนบทเล็กๆ ห่างจากบ้านพ่อตาเพียงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น บางวันเขาขับรถมอเตอร์ไซค์

บางวันเขาเลือกปั่นจักรยานไปสอนหนังสือ แม้มันจะช้าสักหน่อยแต่ยามเช้าของชีวิตนั้น ควรค่าที่จิตวิญญาณของคนหนุ่มจะอ้อยอิ่งและละเมียดละไมในความอิสระชั่วครั้งชั่วคราว

 

ความจริงแล้วพ่อตาของเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนัก อุสหมานเป็นถึงรองโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านกำปงบาตู และควบตำแหน่งครูสอนโรงเรียนตาดีกาอีกด้วย

อุสหมานรู้สึกภูมิอกภูมิใจมากที่เขาได้ใช้ชีวิตในครรลองและตามรอยท่านศาสดา แต่ที่น่าปวดหัวกับพ่อตา คือ ทุกคนในบ้านหลังนี้ต้องเชื่อตรงกันว่าแกมีต้นขั้วตระกูลมาจากประเทศมาเลเซีย

“โต๊ะแน๊ะแน๊ะของเราฝังร่างอยู่มาเลเซียที่รัฐสลังงอร์ ในหมู่บ้านสุไหงบูโลห์พี่น้องป๊ะทั้งนั้น วันราหยาญีนี้เราไปเยี่ยมญาติมั่งนะ ป๊ะว่า” นัสเราะห์บอกกับผู้เป็นสามีว่าไม่ต้องกังวล ป๊ะพูดแบบนี้มาตั้งแต่หล่อนยังเป็นเด็ก ถึงตอนนี้พ่อก็ไม่เคยกลับไปบ้านเกิดสักที

แม้ดาวูดเป็นครูบ้านนอก แต่ชอบอ่านหนังสือแนววรรณกรรมเพื่อชีวิตและสังคม ชื่นชมชื่นชอบงานของชะห์นอน อหมัด, อาซีซี ฮาซี อับดุลลาฮ์, เซน กัสตูรี และเอส.เอ็ม.ซากีร์ เหล่านี้คือนักเขียนนามอุโฆษชาวมาเลเซีย ชายหนุ่มได้เรียนรู้สภาพบริบทสังคมของชาวมลายูผ่านนวนิยาย เรื่องสั้น และบทกวี ของนักประพันธ์เหล่านั้น

แม้อุสหมานจะบอกว่าเขาเป็นเชื้อสายชาวมลายา แต่ดาวูดกลับทุ่มเถียงอยู่ในใจเสมอว่าหากพ่อตาของเขาคือมลายู เขาน่าจะเป็นมลายูได้มากกว่าเสียอีก แม้ผ่านตาเพียงการอ่านก็ตามที

 

ในตอนกลางวันเจ๊ะไบล๊ะจะง่วนอยู่ในสวน ปลูกพริก มันเทศ มะเขือพวง ถั่วฝักยาว บวบ ผักบุ้ง ผักกาด และอื่นๆ อีกมากมาย สวนผักอยู่ไม่ไกลจากบ้านนักเจ๊ะไบล๊ะมักเดินไปเอง นานๆ ครั้งเท่านั้นแหละจะขอสามีช่วยขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง

ส่วนสามีอย่างอุสหมานจะเข้าสวนยางพาราตั้งแต่ตีสองกลางคืน กรีดเสร็จก็กลับมานอนที่บ้าน หลังละหมาดย่ำรุ่งนั่นแหละเขาจึงไปเก็บน้ำยาง กว่าจะเสร็จก็ตอนสายๆ แดดเริ่มเป็นปัญหาต่อผิวเนื้อ

วันหยุดดาวูด แอบรู้สึกแปลกๆ เมื่อพ่อตาและแม่ยายทำนู้นทำนี่ ไม่เคยพัก ส่วนเขาและนัสเราะห์ดูเหมือนจะแข่งกันนอนเสียมากว่า แม้เสาร์อาทิตย์ควรเป็นวันที่เขาจะได้พักผ่อนเต็มที่ในรังอุ่น แต่เมื่อเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้แล้วเขาคิดว่าความเป็นตัวเองเป็นสิ่งหายากเหลือเกิน

ความจริงในบ้านยังมีโต๊ะมีนา อีกคน นางมีศักดิ์เป็นมะของอุสหมาน ซึ่งนางชรามากแล้ว ใกล้แปดสิบปีเต็มที มีอาการเริ่มหลงๆ ลืมๆ ในวันๆ หนึ่งไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากละหมาดก็เป็นฟังบรรยายเรื่องชีวิตในหลุมฝังศพ ดาวูดได้ยินทีไรรู้สึกหดหู่ทุกที

ดูเหมือนว่าโต๊ะมีนาจะหาความสุขได้ง่ายแกเลี้ยงแมวขนฟูตัวผู้ไว้สองตัว ชื่อ รอกิบกับอาติส เจ้าแสนซนสองตัวนี้แหละที่นางยอมพูดคุยด้วยมากที่สุดแล้วในบ้าน

บางวันโต๊ะมีนาทำตัวยุ่งๆ อยู่ในครัว เหมือนว่าทำนู่นทำนี่ ด้วยวัยนี้นางกลับรู้สึกราวกับเป็นอากาศเดินไปเดินมาในบ้านก็เท่านั้น แม้จะมีอยู่จริงแต่คนในบ้านกลับมองมองไม่เห็นนาง ดาวูดคิดว่าเรื่องนี้ช่างน่าสลด

 

ดาวูดไม่มีเชื้อสายจากรัฐมาเลเซีย เรื่องนี้เขารู้ดี ก่อนปู่ของเขาเสียชีวิต แกบอกไว้ว่า “เราอพยพมาจากตรัง ส่วนไหนก็ไม่รู้ แต่เรามาตั้งรกรากที่อุได” ซึ่งหมู่บ้านอุไดนั้นภายหลังเว็บไซต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลได้เขียนประวัติแนะนำว่า

ได้มีชายหนุ่มอิสลาม 2 คน อพยพมาจากประเทศมาเลเซีย ชื่อ “อุแด” และ อุเด็น” ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ได้มาตั้งถิ่นฐาน ณ บ้านอุได ปัจจุบัน หลังจากนั้น นายอุแดได้เสียชีวิตลง นายอุเด็นผู้เป็นน้องชาย เดินทางกลับไปอยู่ประเทศมาเลเซียเหมือนเดิม เพื่อเป็นเกียรติแก่นายอุแด ชาวบ้านจึงได้เรียกชื่อบ้านว่า “อุได”

แต่นั่นก็เป็นประวัติศาสตร์อ้างอิงถึงมาเลเซียอีกนั่นแหละ ขณะปู่ยืนยันเสียงแข็งว่าชนกลุ่มแรกมาจากตรัง

“จะตรังส่วนไหนก็ไม่ใช่มาเลย์ ถ้าเป็นมาเลย์จริงโบ้เรากาเป็นมาเลย์ขี้นก”

 

“หน้าฤดูลูกไม้ปีก่อน ค้างคาวชักฝูงรุมกินลูกราโบดเจาะเป็นรูพรุน” แรกๆ ดาวูดทำกิริยางุนงงถึงชื่อชนิดของผลไม้ที่พ่อตามพูดถึง แต่เมื่ออุสหมานขึ้นรานกิ่งเงาะแล้วปลิดลงมาให้ดูรอยรูค้างคาวกินนั้นแหละ ชายหนุ่มจึงถึงบ้างอ้อ

ชาวบ้านแถบถิ่นนี้มักเรียกชื่อผลไม้ หรือสิ่งของนั้นเพี้ยนจากภาษาเพื่อนบ้านตามตะเข็บชายแดนข้ามมาจากภูเขาอีกฟากตะวันออก วันหนึ่งดาวูดเข้าครัวไปดื่มน้ำ เจ๊ะไบล๊ะ บอกให้ไปหยิบ ‘จาป๊ะ’ ให้นาง ดาวูดถึงกันเวียนหัวอะไรคือสิ่งนั้นจาป๊ะคืออะไร “ก็จาป๊ะนั่นแหละ จะอะไรอีกล่ะ” ดีที่ภรรยาเดินมาพอดี ดาวูดจึงรอดตัว มีความรู้ใหม่ว่ามันคือกะละมัง แถบบ้านของเขาเรียกว่าโคมต่างหาก

วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ครูดาวูดและนัสเราะห์ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน กลับบ้านมาบางวันก็มืดค่ำ เสาร์อาทิตย์อยากมีความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่มานอนขลุกอยู่บ้านริมสวนอย่างนี้

บ้านกำปงบาตูเงียบใบ้เหมือนโรงละครร้าง แม้จะเป็นวันหยุดหรือวันเทศกาลก็ตามที จะมีแต่วันฮารีรายอแค่ปีละสองครั้งเท่านั้น และที่ชาวสวนจะผละออกจากแนวป่า ไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ห่างบ้านห่างเมือง

 

ครั้งหนึ่งในบ่ายของวันเสาร์ ขณะดาวูดกำลังเอนหลังอ่านบทกวีแปลจากภาษาตากาล็อก ความจริงมันเป็นงานเขียนเก่าคร่ำคร่าที่มีกลิ่นเหมือนศพแห้งๆ ในฤดูไร้ฝน “น้องบ่าวๆ บังขอช่วยขับรถยนต์ไปเอาของกับบังที” ปกติบังอาคิสไม่ค่อยเจรจาปราศรัยกับน้องเขย นอกจากมีปากไว้รับสลามของดาวูดนานๆ ครั้งเท่านั้น

ดาวูดแม้จะหงุดหงิดเมื่อกำลังอ่านท่อนฮุกของกวีนิพนธ์ แต่ก็ต้องข่มใจแล้วรับปาก “ได้ครับบังไปเอาที่ไหนครับ” เขาถามพี่ชายของเมียด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ตันหยงโป ไปเอาแล้วหลบนิ” ดาวูดรีบแต่งตัวรับหน้าที่เป็นคนขับรถ

อาคิสแม้จะไว้หนวดเคราเหมือนครูโรงเรียนปอเนาะ แต่ขับรถยนต์ไม่เป็น นัสเราะห์เคยเล่าว่านางเคยสอนพี่ชายขับรถ ครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่เอาอีกเลย

บังอาคิสมีภรรยาชื่อซุนนา มีลูกชายกำลังน่ารักชื่อตอวีน แน่ล่ะเขาดูเป็นคนรักครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย กรีดยาง วางกัด หาน้ำผึ้งป่าเป็นประจำ แต่ดาวูดเพิ่งรู้จากปากพี่เมียก็ตกใจ เมื่อบังอาคิสกำลังพาเขาไปรับน้ำมันเถื่อนซึ่งส่งมาจากประเทศมาเลเซีย นำเข้ามาขายในชุมชนบ้านกำปงบาตู อีกเรื่องหนึ่งคือน้ำมันที่ไปรับมานั้นก็จะเอามาลงไว้ให้ซากีน๊ะ แม่ค้าขายน้ำมันผิดกฎหมายประจำหมู่บ้าน

หล่อนเป็นม่ายสาว หน้าตาสวย ทั้งผิวพรรณ และปากหวานที่ผู้ชายทั้งหมู่บ้านพูดถึงในวงสนทนาให้หัวใจกระชุ่มกระชวย “น้องอย่าบอกใครนะ เดี๋ยวค่าขนส่งน้ำมันรอบนี้บังจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้” ดาวูดรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทันใด ดั่งกำลังเดินเข้าเขตลวดหนามที่มีเหล็กกั้น เบื้องหน้านั้นคือสมรภูมิชีวิต

 

ดาวูดนึกถึงพ่อตาชายผู้อ้างตัวเป็นพลเมืองมาเลเซีย ทุกอย่างมันถ่ายทอดถึงกันหรือนี่ แม้แต่ลูกชายอย่างอาคิสก็ขายน้ำมันมาเลย์ แม้เป็นน้ำมันเถื่อน ไม่รู้จากรัฐไหน ดาวูดไม่ทราบแต่หากน้ำมันเชื้อเพลิงมาจากสลังงอร์ช่างเป็นเรื่องน่าขันขื่นอย่างยิ่ง

กำปงบาตูนั้นใครมาเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดนัดชายแดนไทย-มาเลเซีย จะต้องผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ ข้างทางหากเป็นฤดูผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง จำปาดะ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ข้างทาง ทั้งขาเข้าและขาออกจะมีเพิงเล็กๆ ขายน้ำมันตลอดเส้นทาง

น้ำมันถูกบรรจุใส่แกลลอน แกลลอนละสิบลิตร ส่วนราคาไม่มีเจ้าไหนติดป้ายระบุไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ซากีน๊ะ พวกพ่อค้าแม่ค้าล้วนวางถังน้ำมันไว้ใต้เพิง เขียนป้ายด้วยปากกาเคมีแขวนไว้แค่ว่าขายน้ำมัน แต่ไม่วงเล็บไว้ว่า ‘เถื่อน’ ดาวูดแอบคิดติดตลกว่าเพราะสาเหตุนี้กระมัง ทำให้ตำรวจชายแดนไม่รู้เรื่องรู้ราว

บังอาคิสมองเห็นโอกาสนี้ที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการน้ำมันต่างประเทศ แต่หญิงม่ายงามนั่นเล่า มีส่วนได้เสียอะไรกับพี่เขยหรือเปล่า

ผู้ชายมีเมียมีลูกแล้วจะเอาชั่วโมงบินมาจากไหน ดาวูดครุ่นคิดระหว่างกลับรถออกจากอุโมงค์ป่าโกงกาง ฟ้ามืดฉบับพลับ ฝนจากทะเลอันดามันกระหน่ำลงมา

“ฝนตกพรรค์นี้ ตัดยางไม่ได้หล่าว” ชายหนุ่มพ่อค้าลำเลียงน้ำมัน ดึงซองใบจากยาเส้นตราถ้วยทองออกจากกระเป๋าหลังของกางเกงบลูยีนส์ ม้วนและสอดยาเส้น จุดไฟแช็คสองสามที ปล่อยควันขาวนวลอบอวล ช่างเป็นกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยภายในรถ

ฝนตกหนัก ดาวูดเปิดกระจกไม่ได้ เขาต้องนั่งทนดมกลิ่นใบจากจนถึงบ้าน และไม่พูดกับพี่เขย แม้แต่คำเดียว

 

ใครที่ดำรงชีวิตอยู่ในบ้านกำปงบาตูย่อมรู้ดีว่า ช่วงไหนหน้าแล้งน้ำประปาไม่ไหล และช่วงไหนไม่แล้งระบบจัดการน้ำนั้นจะชำรุด ต้องมีการเคลื่อนไหวของงบซ่อมบำรุงเสมอ ครานั้นโรงเรียนปิดภาคเรียน น้ำไม่ไหล แม้จะไหลก็เป็นสีโกโก้ โชคดีของดาวูด เพียงเดินเท้าไปหลังบ้านไม่ทันหอบ คลองโต๊ะเสดไหลเอื่อยจากภูเขาทั้งเย็นและสะอาด ภรรยาเดินตามหลังมาติดๆ

ขณะที่เจ๊ะไบล๊ะกำลังนำน้ำปลาลังซาวขมิ้นและเกลือที่โขลกไว้เรียบร้อย ด้านอุสหมานกำลังฝึกภาษามลายูจากโต๊ะครูออนไลน์ทางโทรศัพท์ “หลบให้ทันมาหยังหวันเที่ยงด้วยนะ ได้ยินแล้วม้าย” ดาวูดกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงลำคอหนึ่งครั้ง ก่อนให้นัสเราะห์เป็นคนรับปากผู้เป็นพ่อ

ทางลงคลองโต๊ะเสดเต็มไปด้วยหญ้าข้อบริเวณขอบคลอง ลานทรายสะท้อนกับแสงอาทิตย์เที่ยงวัน แม้ไม่เปล่งประกายแต่คล้ายใครบางคนเอาเม็ดทองคำมาโรยไว้ สายลมวูบไหวต้นหญ้าดอกอ้อไหวเอน นัสเราะห์กระชับผ้าถุงปาเต๊ะมั่น หล่อนลงอาบน้ำด้วยความตื่นเต้น ดาวูดถอดผ้าถุงเหลือแต่กางเกงบอลสีดำ ซึ่งร้างสนามมานา เขาเดินย่างย่ำลงธารน้ำทั้งเสื้อยืดแขนสั้น

ดำผุดดำว่าย สระผม แปรงฟัน พูดคุยจิปาถะตามประสาผัวเมีย “เขายังไม่อะซานทีใช่มั้ยน้อง” นัสเราะเห็นด้วยกับสามี “น้องก็ไม่ได้ยินทีนะ คงยังไม่เข้าเวลาละหมาด” ผู้เป็นสามีนอนลอยคอแหงนมองฟ้า ช่างงดงามตา น่าจะวาดภาพสักภาพ อยากนอนเล่นน้ำทั้งวัน

นกกินปลีบินฉวัดเฉวียน บนผิวคลอง เสียงรถมอเตอร์ไซค์ลุยสวนของอุสหมานแหวกเสียงสายน้ำอันแสนสงบ “หลบได้แล้วโอ้ หลบมาหยังกินข้าวอย่าอาบน้ำเพลิน เข้าเวลาละหมาดแล้ว” ชายผู้อ้างตนเป็นทายาทแห่งรัฐสลังงอร์ตะโกนส่งคำขาดลงมาจากสะพานคอนกรีต

ดาวูดหันมองหน้าภรรยา แววตาของหล่อนเหมือนถูกพันธนาการอยู่ในห้วงเสียงนั้น ชายหนุ่มเท้าก้าวขึ้นจากลำน้ำ ขณะนัสเราะห์กำลังผลัดผ้าถุงบนลานทราย

“ฉันไม่อยากละหมาด ตอนที่ป๊ะของเธอสั่งให้ละหมาด”

เสียงพูดของเขาเบาหวิว ขณะถอนเท้าจากตลิ่งคลองและมั่นใจว่าภรรยาสุดที่รักจะไม่ได้ยิน •