ทำไม ‘ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนีย’ จึงรุนแรง? 7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ‘ลมซานตาอานา’

ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติhttps://www.facebook.com/buncha2509

Multiverse | บัญชา ธนบุญสมบัติ

www.facebook.com/buncha2509

 

ทำไม ‘ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนีย’ จึงรุนแรง?

7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ‘ลมซานตาอานา’

 

ความจริงบทความในครั้งนี้ควรเป็นเรื่อง Timeline : หลุมดำ ต่อจากตอนที่แล้ว แต่เนื่องจากเหตุการณ์ไฟป่าที่รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ในช่วงต้นเดือนมกราคม ค.ศ. 2025 มีความรุนแรง เป็นข่าวดังระดับโลกที่มีคนไทยสนใจกันมาก จึงขอแทรกบทความนี้เอาไว้นะครับ

ปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ไฟป่าที่รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้มีความรุนแรงอย่างยิ่ง คือ ลมซานตาอานา (Santa Ana winds) จึงอยากชวนให้มารู้จักลมนี้กัน

1) ลมซานตาอานา คืออะไร?

ตอบ : ลมซานตาอานา (Santa Ana winds) เป็นลมแรงและแห้งที่มีต้นกำเนิดจากพื้นที่สูง โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า เกรทเบซิน (Great Basin) และบริเวณแห้งแล้งโมฮาวี (Mohave Desert) ลมนี้พัดไปทางชายฝั่งตะวันตก และสามารถลดระดับความชื้นในอากาศอย่างมีนัยสำคัญ โดยมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ

ลมซานตาอานาเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศและพฤติกรรมของไฟป่าในแคลิฟอร์เนียตอนใต้

2) คำว่า “Santa Ana” หมายถึงอะไร และมาจากไหน?

ตอบ : มีคำอธิบายหลายอย่าง แต่ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ คำว่า Santa Ana wind มาจากชื่อ Santa Ana Canyon ในออเรนจ์เคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย อันเป็นหุบเขาที่ลมนี้มักจะพัดผ่าน หุบเขานี้ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาซานตาอานา (Santa Ana Mountains) กับเทือกเขาซานเบร์นาร์ดีโน (San Bernardino Mountains)

คำว่า ‘Santa Ana’ ในชื่อ Santa Ana Canyon หมายถึง นักบุญอันนา (Saint Anne)

แผนภาพแสดงการเกิดลมซานตาอานาและพฤติกรรมสำคัญบางอย่าง
ที่มา : https://opensnow.com/news/post/santa-ana-winds-explained

3) ลมซานตาอานาเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตอบ : การเกิดลมซานาตาอานามีขั้นตอนหลักดังนี้

(1) บริเวณเกรทเบซิน (ส่วนหนึ่งของรัฐเนวาดาและยูทาห์) รวมถึงบริเวณแห้งแล้งโมฮาวีในแคลิฟอร์เนีย มีระบบความกดอากาศสูงที่พื้นผิว (surface high-pressure system) ระบบความกดอากาศสูงนี้มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิของอากาศในบริเวณนี้มักจะค่อนข้างเย็น (อย่างไรก็ดี ควรทราบด้วยว่าระบบความกดอากาศสูงที่พื้นผิวที่ว่านี้อาจเกิดในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิได้ด้วยเช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า)

(2) บริเวณชายฝั่งทางใต้ของแคลิฟอร์เนีย หรือในมหาสมุทรแปซิฟิก มักเกิดระบบความกดอากาศต่ำ (low-pressure system)

(3) ความแตกต่างระหว่างความกดอากาศของบริเวณทั้งสองในข้อ (1) และ (2) ทำให้เกิดกระแสลมพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงกว่า (คือ เกรทเบซิน) ไปสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า (คือ แถบชายฝั่งทะเลของรัฐแคลิฟอร์เนีย)

ในกรณีของลมซานตาอานาคือ ลมนี้จะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

(4) ระหว่างที่กระแสลมจากพื้นที่สูงของเกรทเบซินและบริเวณแห้งแล้งโมฮาวีเคลื่อนลงสู่ระดับน้ำทะเล ก็จะลดระดับความสูงลงอย่างรวดเร็ว การลดระดับนี้ทำให้อากาศถูกบีบอัด ส่งผลให้อากาศจะอุ่นขึ้นและแห้งลงเนื่องจากสูญเสียความชื้น เรียกกระบวนการนี้ว่า การบีบอัดแบบแอเดียแบติก (adiabatic compression)

ประเด็นนี้สำคัญ เนื่องจากอากาศที่อุ่นและแห้งในลมซานตาอานาเป็นปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการเกิดไฟป่า

(5) เมื่อกระแสลมเคลื่อนผ่านช่องเขาและหุบเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทือกเขาทรานสเวิร์ส (Transverse Ranges) และเทือกเขาเพนนินซูลาร์ (Peninsular Ranges) การเคลื่อนผ่านช่องเขาทำให้ลมพัดแรงขึ้น เรียกว่า ปรากฏการณ์เวนทูรี (Venturi effect) ทั้งนี้มักเกิดลมกระโชก (gust) ที่มักจะมีความเร็วเกิน 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ประเด็นนี้สำคัญ เนื่องจากความเร็วลมและลมกระโชกที่รุนแรงเป็นส่วนสำคัญที่โหมกระพือไฟป่าให้ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว

แผนภาพแสดงลมดีอาโบลและลมซานตาอานา
ที่มา: https://opensnow.com/news/post/santa-ana-winds-explained

4) ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ไฟป่าในแคลิฟอร์เนียที่ลมซานตาอานามีส่วนเกี่ยวข้องบ้างไหม?

ตอบ : มีหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ Laguna Fire (1970), Old Fire (2003), Cedar Fire (2003), Witch Creek Fire (2007), Thomas Fire (2017) และ Woolsey Fire (2018) หากสนใจข้อมูลโดยสังเขปของเหตุการณ์ที่ระบุไว้ สามารถดูได้จากเว็บนี้ https://opensnow.com/news/post/santa-ana-winds-explained

5) นอกจากป่าไม้ถูกทำลายด้วยไฟป่าแล้ว ลมซานตาอานายังอาจส่งผลกระทบด้านลบอื่นๆ อีกได้ไหม?

ตอบ : ลมซานตาอานาสามารถทำให้ให้อาคารบ้านเรือนและโครงสร้างต่างๆ ได้รับความเสียหาย หรือถูกทำลายได้ เนื่องจากมีลมกระโชกที่แรงมาก และหากลมทำให้สายไฟฟ้าล้มก็เกิดไฟดับได้

นอกจากนี้การเดินทางไม่ว่า ยานพาหนะบนท้องถนน รถไฟ เครื่องบิน และเรือ อาจได้รับผลกระทบได้ทั้งสิ้น เช่น ลมแรงพัดฝุ่นบดบังทัศนวิสัย ลมกระโชกซัดต้นไม้ล้มกีดขวางการจราจรหรือล้มทับรถยนต์ ลมกระโชกยังอาจทำให้รถหรือแม้แต่รถบรรทุกที่สูงล้มคว่ำ ลมที่พัดขวางเส้นทางทำให้ต้องชะลอการนำเครื่องบินขึ้น และลมแรงทำให้คลื่นปั่นป่วน ส่งผลให้เรือขนาดเล็กเสี่ยงต่ออันตราย

 

6) ลมซานตาอานามีประโยชน์บ้างไหม?

ตอบ : มีแน่นอน และมีหลายมิติด้วย ตัวอย่างเช่น ลมพัดแรงสามารถช่วยกระจายมลพิษในอากาศและหมอกควัน ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นชั่วคราว โดยเฉพาะในพื้นที่เมือง

ในช่วงเดือนที่อากาศเย็น อากาศที่อบอุ่นจากลมซานตาอานาสามารถช่วยบรรเทาความเย็นได้ ส่วนในพื้นที่เกษตรบางแห่ง ลมที่อุ่นสามารถป้องกันการเกิดฟรอสต์ (frost – น้ำแข็งรูปแบบหนึ่ง) บนพืชผล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเกษตร

สภาพอากาศแห้งและท้องฟ้าใสที่มาพร้อมกับลมซานตาอานาทำให้แดดจ้าซึ่งหลายคนชอบ เพราะทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างเดินป่า ขี่จักรยาน หรือ เที่ยวทะเล

 

7) นอกจากลมซานตาอานาแล้ว ยังมีลมแบบอื่นๆ ที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันในบริเวณใกล้เคียงกันอีกหรือเปล่า?

ตอบ : มี เรียกว่า ลมดีอาโบล (Diablo winds) คำว่า diablo เป็นภาษาสเปน แปลว่า devil หรือปีศาจ

ลมดีอาโบลมีต้นกำเนิดจากพื้นที่คล้ายคลึงกับลมซานตาอานาและมีกลไกการเกิดที่คล้ายกัน แถมยังมีส่วนทำให้เกิดไฟป่าได้เช่นกัน แต่มีจุดแตกต่างสำคัญคือ ลมซานตาอานาเกิดจากอากาศเย็นและหนาแน่นจากทะเลทรายที่สูงไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นลมพัดลงลาดเขา (katabatic wind) ในขณะที่ลมดีอาโบลได้รับอิทธิพลจากกระบวนการพลวัต เช่น การจมของอากาศจากระดับสูงและเกี่ยวข้องกับรูปแบบบรรยากาศในภาพกว้าง (large-scale atmospheric subsidence)

ลมดีอาโบลส่วนใหญ่พบในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก รวมถึงหุบเขาซานตาคลารา (Santa Clara Valley) ส่วนลมซานตาอานามักพบในแคลิฟอร์เนียตอนใต้

อย่างไรก็ตาม บางครั้งลมดีอาโบลอาจแผ่ลงมาทางใต้และส่งผลกระทบต่อบางส่วนของแคลิฟอร์เนียตอนกลาง

การจำแนกความแตกต่างระหว่างลมซานตาอานาและลมดีอาโบลอาจไม่ชัดเจนเสมอไป ในบางกรณี สภาพบรรยากาศเดียวกันอาจก่อให้เกิดลมแรงและแห้งทั้งในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือและตอนใต้ ทำให้ยากที่จะจำแนกประเภทของลมได้อย่างแน่ชัด