‘แอลเอ’ ยุคไฟบรรลัยกัลป์

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

ไฟป่าเผานครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันอังคารที่ 7 มกราคม เวลาผ่านมากว่า 1 สัปดาห์แล้ว ไฟยังเผาผลาญบ้านเรือน ทรัพย์สินอย่างเกรี้ยวกราด สร้างความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้

พื้นที่ที่ไฟเผาราบเป็นหน้ากลองมีมากถึง 155 ตารางกิโลเมตร เทียบเท่าพื้นที่เขตลาดกระบังบวกกับเขตสวนหลวงของกรุงเทพมหานคร

ชาวเมือง 2 แสนคนเกิดความปั่นป่วนอลหม่าน เพราะทางการประกาศให้อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย

บ้านเรือนที่ไฟเผามีกว่า 1 หมื่นหลัง ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 25 คน ประเมินความเสียหายเบื้องต้น 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าจะฟื้นฟูสร้างอาคารบ้านเรือนใหม่ต้องใช้เงินราว 14,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

ผู้เชี่ยวชาญจึงตั้งคำถามว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคไฟบรรลัยกัลป์ (Pyrocene) แล้วใช่หรือไม่?

สาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามเช่นนั้น ก็เพราะมีหลากหลายองค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟไหม้ในแอลเอ

องค์ประกอบแรก นั่นคือภาวะโลกเดือด อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น หน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป หรือ The European Union’s Copernicus Climate Change Service (C3S) เพิ่งออกข่าวยืนยันว่าปี 2567 อุณหภูมิโลกทะลุ 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม

“คาร์โล บูอนเทมโป” ผู้อำนวยการ C3S บอกว่า ตั้งแต่ที่มีการบันทึกสถิติอุณหภูมิโลก ปรากฏว่าทุกเดือนของปี 2567 อุณหภูมิเพิ่มขึ้นมีสถิติติดอันดับ 2 และค่าเฉลี่ยอุณหภูมิโลกของปีที่แล้วอยู่ที่ 1.6 องศาเซลเซียส สูงกว่าช่วงปี 2393-2443 เป็นช่วงก่อนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม

วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 เป็นวันที่อากาศร้อนที่สุด ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิทั้งโลกอยู่ที่ 17.16 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นมาจากชาวโลกใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งก๊าซ น้ำมันและถ่านหิน ควันพิษที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเหล่านี้ลอยขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศโลกในปริมาณเข้มขึ้นจนทำให้ชั้นบรรยากาศโลกเกิดปฏิกิริยาทางเคมีรุนแรง ไปกระตุ้นให้สภาพภูมิอากาศโลกแปรปรวน

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกทำสถิติร้อนที่สุดต่อเนื่องติดๆ กัน ถ้าเอาไปทาบกับประวัติศาสตร์พบว่า ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิโลกที่สูงเช่นนี้เหมือนกับเมื่อ 125,000 ปีก่อน

นั่นเท่ากับว่าโลกใบนี้จะเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนรุนแรงมากขึ้นมากทั้งอากาศที่ร้อนสุดสุด แล้งสุดสุด ฝนตกหนักสุดสุด พายุเกรี้ยวกราดสุดสุด

ฤดูกาลผิดไปจากปกติ เช่น ฤดูร้อนก็ขยายเวลานานกว่าเดิม อากาศร้อนแล้งทำสถิติสูงกว่าในอดีต ฤดูฝนยืดระยะเวลายาวขึ้น ฝนตกหนักขึ้น ปริมาณน้ำฝนในแต่ละชั่วโมงเพิ่มมากกว่าเก่า หรือฤดูหนาว ก็หนาวนาน อากาศเย็นยะเยือก หิมะตกหนา

ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศดังกล่าวนี้เพิ่มระดับความเสี่ยงให้เกิดไฟป่าสูงขึ้น ดังเช่นที่เกิดในพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ รวมถึงแอลเอ

 

ฤดูหนาวปีที่แล้ว รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้เผชิญกับฝนตกหนักสุดสุด น้ำท่วมบ้านเรือน โคลนถล่ม ถนนหนทางเอ่อไปด้วยน้ำ แต่เวลาผ่านไปไม่นานนัก อากาศในแอลเอพลิกผันกลายเป็นร้อนแล้ง ทำลายสถิติอุณหภูมิร้อนสุด

ระหว่างฝนตกหนักน้ำท่วม อากาศชื้น บรรดาต้นหญ้าและพืชนานาพันธุ์ในแอลเอเติบโตเบ่งบาน และอากาศพลิกผันเปลี่ยนเป็นแห้งแล้งในช่วงเวลาอันสั้นๆ

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่านี่คือปรากฏการณ์ Hydroclimate Whiplash บางสื่อให้ความหมายว่า “ปรากฏการณ์ภูมิอากาศแปรปรวนฉับพลัน”

บรรดาต้นหญ้าและพืชนานาพันธุ์เหล่านี้ กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในระหว่างเกิดไฟไหม้ ประกอบกับกระแสลมจากทะเลทรายแคลิฟอร์เนียชื่อ “ซานตาอานา” เป็นลมที่มีทั้งความเร็วสูง 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังเป็นลมแห้งเหมือนลมจากเครื่องเป่าผม เป็นตัวช่วยกระพือเปลวไฟลุกไหม้รวดเร็ว ประกายไฟปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่ว ความแรงของลมยังกระชากให้เสาไฟฟ้าแรงสูงล้มเกิดประกายไฟลุกไหม้

ตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 แอลเอขยายเมืองอย่างรวดเร็วรองรับการเติบโตของประชากรเฉียดๆ 4 ล้านคน ผู้คนจำนวนมากรุกคืบสร้างบ้านเรือนในบริเวณชายป่ามีภูมิประเทศเป็นหุบเขา เมื่อเกิดไฟไหม้ก็ยากแก่การควบคุม

บ้านในพื้นที่แอลเอส่วนใหญ่มีโครงสร้างภายในเป็นไม้ เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เมื่อเกิดไฟลุกไหม้บ้าน กระแสลมแรง ไฟโหมเผาบ้าน สะเก็ดไฟปลิวกระเด็นไปที่บ้านใกล้เคียง ไฟลุกไหม้ต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงมีไม่เพียงพอเพราะโดนตัดงบประมาณ

ขณะที่น้ำขาดแคลนเนื่องจากภาวะแห้งแล้งยาวนาน อีกทั้งการเก็บกับน้ำสำรองในยามฉุกเฉินมีปริมาณจำกัด ในวันเกิดเหตุไฟไหม้ 7 มกราคม สำนักงานเฝ้าติดตามภาวะแห้งแล้ง ตรวจสอบพบว่าปริมาณน้ำเหลือน้อยผิดปกติ

องค์ประกอบทั้งหมดนี้กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ที่เผาบ้านเรือนในแอลเอให้ราพณาสูร

ภาพไฟไหม้ Eaton เผาป้ายรถเมล์ใน Altadena รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2025 (เอพี)

ส่วนสาเหตุที่แท้จริงทำไมจึงเกิดไฟไหม้ครั้งรุนแรงในแอลเอยังไม่ทราบแน่ชัด มีเพียงข้อสันนิษฐานว่าคนมือบอนวางเพลิง หรือเป็นเพราะประมาทเลินเล่อ เปิดเตาแก๊ส ทิ้งก้นบุหรี่ หรือมาจากเสาไฟเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรหรือฟ้าผ่าทำให้มีประกายไฟลุกไหม้

แต่เหตุไฟป่าในแอลเอได้ตอกย้ำให้ชาวโลกได้เห็นเป็นประจักษ์ว่า ธรรมชาติยิ่งใหญ่ พลังของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นกระแสลม คลื่นความร้อน พายุฝน พายุหิมะ หรือคลื่นในมหาสมุทรล้วนแล้วมีพลังมหาศาลพร้อมทำลายล้างเมือง ชุมชนและกลืนกินชีวิตผู้คน

นักข่าวไปถาม “เกวิน นิวซัม” ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียว่า ปกติแล้วฤดูไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ทำไมไฟที่เผาแอลเอจึงมาเร็วกว่าฤดูกาล ผู้ว่าฯ ตอบเสียงดังฟังชัดว่า ไม่มีแล้วฤดูไฟป่า ตอนนี้มีแค่ปีแห่งไฟเท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ร้อนระอุ กระแสลมรุนแรงเป็นต้นเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในสหรัฐและทั่วโลกมานับเป็นพันครั้ง

เฉพาะในปี 2567 ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นกว่า 8,000 ครั้ง พื้นที่เสียหายราว 4,000 ตารางกิโลเมตร ในจำนวนนี้เป็นเหตุเกิดจากฝีมือชายคนหนึ่งผลักรถยนต์ที่ไฟกำลังลุกไหม้ลงไปในหุบเขา ไฟลุกโหมลามทำลายบ้านเรือนไป 700 หลัง

เดือนสิงหาคม 2566 เกิดไฟป่าเผาผลาญเมืองลาไฮนา รัฐฮาวาย สหรัฐ มีผู้เสียชีวิตราว 102 คน สาเหตุมาจากสภาพอากาศที่แห้ง ลมแรง และอิทธิพลจากพายุเฮอร์ริเคน บ้านเรือนกว่า 2,200 หลัง พังพินาศ ความเสียหายมากกว่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ย้อนไปอีก 2 ปีคือปี 2564 ไฟป่าที่ชาวเมืองโคโลราโด ตั้งชื่อว่า “มาร์แชลไฟร์” เผาบ้านกว่า 1 พันหลังพังราบและมีผู้เสียชีวิตอีก 5 คน

ในแคนาดา ติดกับสหรัฐอเมริกา เมื่อถึงฤดูไฟป่า มีความเสียหายเกิดขึ้นทุกปี ปีที่แล้วพื้นที่ที่ไฟเผาทำลายมีมากกว่า 53,000 ตารางกิโลเมตร

ฝั่งทวีปยุโรป มีไฟป่าเกิดขึ้นที่โปรตุเกสมากกว่า 1,000 ครั้ง ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส และกระแสลมแรง 70 ก.ม./ช.ม.

พื้นที่ในทวีปอเมริกาใต้ เกิดไฟป่าบ่อยครั้ง ปีที่แล้วเฉพาะในบราซิลมีไฟป่ากว่า 6 หมื่นครั้ง ส่วนมากเกิดในเขตป่าแอมะซอน สาเหตุหลักๆ มาจากอากาศร้อนจัด ฝนแทบไม่ตกเลย นอกจากนี้ ยังมีไฟป่าในชิลี โคลอมเบีย เปรู

ส่วนในออสเตรเลีย ฤดูไฟป่าสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับประเทศนี้ โดยเฉพาะในแถบตะวันตกและตอนใต้ของทวีป ซึ่งมีอากาศร้อนจัด ดังเช่นเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว อุณหภูมิในออสเตรเลียทำสถิติพุ่งสูงสุดถึง 50 องศาเซลเซียส และมีภัยแล้งรุนแรง เกิดคลื่นความร้อน พื้นที่ราว 80 เปอร์เซ็นต์มีปริมาณน้ำฝนทั้งปีน้อยกว่า 24 นิ้ว

ในบ้านเรา เพิ่งเกิดไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในพื้นที่ ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน การดับไฟเป็นไปยากลำบาก กว่าจะควบคุมไฟไม่ให้ลุกลามใช้เวลากว่า 10 วัน พื้นที่ป่าได้รับความเสียหายราว 1,700 ไร่

ไฟป่าไม่เพียงทำลายพื้นที่ป่าไม้ สัตว์ป่า พืชพันธุ์ บ้านเรือนและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดควันและฝุ่น ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพผู้คนอีกด้วย แต่ทั้งหลายทั้งปวงมีจุดกำเนิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]