ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
การต่อต้านการจารกรรม
: เคมเปไทปะทะสายลับก๊กมินตั๋ง (2)
เพียงราวครึ่งปีภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาระเบิดขึ้น ราวต้นเดือนพฤษภาคม 2485 กองทัพญี่ปุ่นสามารถจับสายลับจีนที่ทำการจารกรรมข้อมูลทางทหารให้รัฐบาลจุงกิงของเจียงไคเช็กในพระนครได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีนั้นเอง มีข้อตกลงร่วมในการปฏิบัติงานร่วมระหว่างสารวัตรทหารญี่ปุ่นและสารวัตรทหารไทยต้องทำการจับกุมผู้กระทำความผิดร่วมกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น พบว่า การจับกุมการจารกรรมของสายลับครั้งสำคัญๆ หลายครั้ง เคมเปไทไม่แจ้งฝ่ายไทยทราบก่อน

จับสายลับจุงกิง
จากหลักฐานฝ่ายไทยที่รายงานการจับกุมชาวจีนที่จารกรรมและลักขโมยทรัพย์สินของกองทัพญี่ปุ่นในปี 2485 นั้นมีถึง 48 กรณี โดยแบ่งเป็นเหตุเกิดในพระนคร 22 กรณี และเกิดในจังหวัดอื่น 26 กรณี
สำหรับการจับกุมในพระนคร 22 กรณีนั้น สารวัตรทหารญี่ปุ่นจับกุมผู้คนในไทยโดยพลการไม่บอกฝ่ายไทยให้ไปร่วมจับกุมด้วยถึง 14 กรณี และมีการตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นสายลับจารกรรม จำนวน 6 กรณีเป็นคนจีน 14 คน มีคนสัญชาติไทยเพียง 1 คน (มูราซิมา, 2541, 133-134)
จากข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า เพียงปีแรกของสงครามระเบิดขึ้น สายลับจีนที่จารกรรมข้อมูลส่งกลับยังกรุงจุงกิงได้ถูกเคมเปไทจับกุมไปถึง 14 คน ด้วยปฏิบัติการจารกรรมของสายลับจีนย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับกองทัพญี่ปุ่นเป็นอันมากและอาจเป็นเหตุให้มีการกวาดล้างจับกุมชาวจีนผู้ต้องสงสัยอย่างกว้างขวางเพื่อหยุดยั้งปฏิบัติการของเหล่าสายลับที่ถือเป็นการหยามกองทัพญี่ปุ่นในไทย ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อชุมชนชาวจีนในไทยเป็นอันมากอีกด้วย

คมเฉือนคม
การต่อต้านจารกรรมของกองทัพญี่ปุ่นในไทย เริ่มปรากฏหลักฐานการจับกุมสายลับจีนในกลางปี 2485 หรือต้นสงคราม ด้วยเคมเปไทดักจับคลื่นวิทยุสื่อสารแปลกปลอมในพระนครได้ มีการระบุว่า กลุ่มปฏิบัติงานสายลับของรัฐบาลจุงกิงขณะนั้น มีนายเซียวซงขิม (นายซงขิม ศรีบุญเรือง) บุตรของนายเซียวฮุดเสง อดีตหัวหน้าใหญ่สาขาก๊กมินตั๋งประจำไทย โดยเซียวซงขิมเป็นนายทหารในกองทัพก๊กมินตั๋งและเป็นหัวหน้าหน่วยสายลับและมีนายหลานตงไห่ (สมุทร เลิศบูรพา) เป็นรองหัวหน้า
เหตุที่เคมเปไทยล่วงรู้ปฏิบัติการจารกรรมของจีน น่าจะเกิดจากการติดต่อระหว่างพระนครและจุงกิง จากเหตุที่นายเซียวซงขิมเดินทางออกจากไทยไปจุงกิงเมื่อ 10 ตุลาคม 2484 ก่อนสงครามระเบิดขึ้น ส่วนหลานตงไห่กลับเข้าไทยเมื่อพฤศจิกายน 2484 หรือก่อนสงครามไม่นาน จึงมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งสองคนอาจมีการติดต่อกันด้วยวิทยุสื่อสารระหว่างกันจนทำให้เคมเปไทยสามารถจับคลื่นวิทยุแปลกปลอมได้นั่นเอง (มูราซิมา, 2541, 134)
ดังนั้น การต่อต้านการจารกรรมจีนจากเคมเปไทได้ปรากฏหลักฐานในเอกสารจดหมายเหตุฝ่ายไทยที่บันทึกไว้ว่า เวลาเที่ยง เมื่อ 9 พฤษภาคม 2485 เคมเปไทยและสารวัตรทหารไทยไปซุ่มจับชาวจีน ผู้เป็นชั้นหัวหน้าหน่วยจารกรรมที่ตึก 7 ชั้นย่านเยาวราช แต่ไม่ได้ตัว ต่อมา สารวัตรทหารบุกจับชาวจีน 3 คนที่บ้านในตรอกสุเหร่าบ้านแขก ที่มหานาค พร้อมยึดเอกสารได้ จากนั้น ตกค่ำในวันนั้น สารวัตรทหารได้ไปบุกค้นบ้านที่ตรอกถั่วงอก ถนนวงเวียน 22 และตึก 6 ชั้นย่านเยาวราช แต่จับตัวสายลับจีนไม่ได้ (หจช. (3)กต 1.5/6 กล่อง1; บก.สูงสุด 1.12.1/7 กล่อง 3)
ต่อมา วันที่ 12 พฤษภาคม 2485 เคมเปไทสืบทราบข่าวมาจากสายลับจีนได้ให้ข่าวอีกว่า มีสายลับของก๊กมินตั๋งหลบซ่อนตัวอยู่ที่ตึก 7 ชั้นเยาวราช แต่ไม่ได้ตัว ต่อมา เคมเปไทและสารวัตรทหารไทยไปบุกจับสายลับได้ 3 คนที่บ้านตรอกแปซิฟิกและที่สามแยก ประกอบด้วยนายติ่ง เป็นคนไทย 1 คน กับนายอาเหลียงและนายอาเจ็งเซียงเป็นชาวจีน 2 คน (หจช. (3) กต 1.5/5 กล่อง 1)
ในวันรุ่งขึ้น (13 พฤษภาคม) เคมเปไทและทหารไทยบุกบ้านนายตี๋และพรรคพวกที่ตรอกโรงภาพยนต์สามแยกแต่ไม่สามารถจับตัวได้ ด้วยนายตี๋รู้ตัวเสียก่อนจึงหลบหนีไปก่อนเพียงไม่กี่วัน จากการข่าวของเคมเปไทระบุว่าบ้านหลังดังกล่าวมีจารชนอาศัยด้วยกัน 4 คนและมีคนเข้าออกบ้านหลังนี้พลุกพล่านมาก (หจช. (3) กต 1.5/5 กล่อง 1)
เป็นไปได้ว่า สายลับกลุ่มแรกที่ถูกเคมเปไทจับกุมคงเผยเครือข่ายสายลับจีนให้เคมเปไททราบจึงเกิดการบุกจับสายลับได้เป็นลูกโซ่

เคมเปไทตั้งสายลับซ้อนลวงจุงกิง
ในเดือนถัดมา เอกสารสารวัตรทหารฝ่ายไทยระบุว่า เมื่อ 18 มิถุนายน 2485 ร.ต.ยามาชิตา หัวหน้าเคมเปไท ร่วมกับสารวัตรทหารไทยไปจับกุมสายลับจีนที่ตึก 6 ชั้น ย่านเยาวราช สามารถจับชายชาวจีน 2 คน ชื่อ นายก๊กเจียงและนายเจียเล้ง และหญิงจีนชื่อไชฟอง 1 คน (หจช. (3) กต 1.5/6 กล่อง 1)
เพียงไม่กี่วันหลังจากสอบสวนเสร็จแล้ว เคมเปไทส่งคืนสายลับชายหญิง คือ นายก๊กเจียง ผู้เป็นนายทหารจุงกิง ยศ ร.อ. ทำหน้าที่ส่งวิทยุสื่อสาร และนางไชฟอง คืนแก่ทางการไทย โดยให้เหตุผลแก่ฝ่ายไทยว่า ทั้งคู่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจารกรรมและให้ฝ่ายไทยปล่อยตัวให้เป็นอิสระได้ (หจช. บก.สูงสุด 1.12.1/7 กล่อง 3) เรื่องในเอกสารฝ่ายไทยก็คงมีข้อมูลเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากบันทึกของนายพลนากามูระได้เผยเบื้องหลังแผนซ้อนแผนในการปล่อยสายลับครั้งนั้นไว้ว่า เมื่อเคมเปไทจับคลื่นวิทยุแปลกปลอมได้ ต่อมา เคมเปไทสามารถจับนายทหารจุงกิงได้พร้อมกับผู้ร่วมงานซึ่งเป็นผู้หญิง พร้อมยึดหลักฐานได้มากมายแล้ว
นายพลนากามูระเห็นว่า การจารกรรมความลับทางทหารเป็นความผิดร้ายแรง สายลับจีนต้องถูกลงโทษสถานหนัก แต่ด้วยการจับกุมอย่างรวดเร็วและปิดลับ ทำให้รัฐบาลจุงกิงไม่ล่วงรู้ว่า ความลับแตก แต่จากการสอบสวนกองทัพญี่ปุ่นเห็นว่า ทั้งสองคนน่าจะเป็นคู่รักกันและหวังจะสร้างอนาคตด้วยกัน ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในไทยขณะนั้น เมื่อการณ์เป็นดังนี้ ทำให้กองทัพญี่ปุ่นเห็นประโยชน์ในการใช้ทั้งคู่เป็นสายลับซ้อน ด้วยการให้เปิดสถานีสื่อสารของจุงกิงขึ้นใหม่เพื่อทำให้ทุกอย่างให้เป็นปกติและรายงานข่าวต่างๆ ให้กองทัพญี่ปุ่นทราบ ต่อมาทางกองทัพญี่ปุ่นจัดงานแต่งงานให้คนทั้งสอง (นากามูระ, 2546, 156)
จากนั้น นายทหารจุงกิงคนนี้จึงทำหน้าที่เป็น “สายลับสองหน้า” ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นสามารถล้วงข้อมูลลับจากฝ่ายจุงกิงได้นานนับแต่บัดนั้นจวบจนถึงเดือนมีนาคม 2488 หรือเกือบสิ้นสุดสงครามเลยทีเดียว (มูราซิมา, 2541, 134)
สารวัตรรายงานว่า ในเดือนมิถุนายน 2485 พ.ต.ฟูจิโมโต เคมเปไทจับกุมสายลับจีนได้อีก 3 คนพร้อมเครื่องโทรศัพท์ เช่น นายไฮตั้ง และนายเชยเจี่ย (หจช. (3) กต 1.5/7 กล่อง 1)


จากพฤติกรรมของเคมเปไทที่จับกุมสายลับไปโดยพลการและไม่แจ้งจำนวนและสาเหตุที่แท้จริงให้แก่ฝ่ายไทยตั้งแต่ต้นสงคราม คงพออนุมานได้ไม่ยากว่า ตลอดช่วงสงคราม การต่อต้านการจารกรรมดูจะเป็นหน้าที่หลักของเคมเปไทมากกว่าสารวัตรทหารฝ่ายไทย จากนั้น ดูเหมือนว่าทางเคมเปไทจะไม่บอกการเข้าจับกุมสายลับที่เข้ามาจารกรรมข้อมูลในไทยแก่สารวัตรทหารฝ่ายไทยเท่าไรนัก นอกจากส่วนใหญ่เป็นงานปราบปรามหัวขโมย งานทะเลาะวิวาท และคดีมโนสาเร่ที่พบในรายงานตลอดจนสิ้นสุดสงคราม
ดุจดังที่นายพลนากามูระเล่าว่า ฝ่ายไทยกระตือรือร้นจัดการสายลับค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ภารกิจดังกล่าวจึงกลายเป็นฝ่ายญี่ปุ่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้ สารวัตรทหารญี่ปุ่นจึงมีงานล้นมือและมีปัญหาในการปฏิบัติงานมาก (นากามูระ, 2546, 156)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022