เอกสาร ลับมาก เนื่องแต่ ‘มหาอุปราช’ เอกสาร ต้นเรื่อง

บทความพิเศษ

 

เอกสาร ลับมาก

เนื่องแต่ ‘มหาอุปราช’

เอกสาร ต้นเรื่อง

 

“ดรุโณวาท” มี 12 หน้า แบ่งเป็นเนื้อที่ข่าวในประเทศประมาณ 3-4 หน้า เริ่มจากข่าวพระราชกรณียกิจ ข่าวราชการ แล้วจบด้วยข่าวสามัญชน

ข่าวพระราชกรณียกิจ แจ่มชัด

นั่นคือ ข่าวทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าหลวงออกรังวัดสวน ข่าวเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ข่าวสมโภชและทรงผนวช เป็นต้น

ข่าวราชการก็แจ่มชัด

นั่นคือ ข่าวตั้งตะลาการศาลรับสั่ง ข่าวเคาน์ซิลลอร์ออฟเสตด ข่าวที่ออฟฟิศทหาร ข่าวตั้งปรีวีเคาน์ซิล เป็นต้น

ข่าวอื่นๆ ที่เรียกว่าข่าวสามัญชน ก็แจ่มชัด

นั่นคือ ข่าวตายในกรุงเทพฯ ข่าวผู้ร้ายในกรุง ข่าวประหารชีวิตโจรผู้ร้าย เป็นต้น เรียกในภาษาสมัยใหม่ว่าเป็นข่าวชาวบ้าน เรียกในสำนวนของนักวิจัยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือ ข่าวสามัญชน

กระนั้น หากอ่านผลงานวิจัยเรื่อง “ภาษากับมวลชน วิวัฒนาการของภาษาเพื่อการเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์ไทย” ของ จำนง วิบูลย์ศรี ดวงทิพย์ วรพันธุ์ ในโครงการเผยแพร่ผลงานฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคม 2526 ก็จะสัมผัสได้ในเนื้อหาและบทสรุปที่ลึกลงไปอีก

เป็นบทสรุปทั้งจากผู้ทำงานวิจัยและที่อ้างอิงบทสรุปมาจากนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์และการหนังสือพิมพ์

นั่นก็คือ

 

บทบาท ดรุโณวาท

หนังสือ “การเมือง”

สําหรับข่าวการพัฒนาประเทศของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเรื่อง “สภาองคมนตรี” (Privy Council) ในบทสรุปของนักประวัติศาสตร์อย่าง ขจร สุขพานิช

“ดูจะเป็นข่าวที่สำคัญมาก”

จึงไม่แปลกที่นักวารสารศาสตร์ซึ่งต่อมาคือเลขาธิการพรรคกิจสังคมจะลงความเห็นด้วยความมั่นใจเป็นอย่างสูงตั้งแต่เมื่อปี 2513 ว่า

“จึงนับเป็นหนังสือพิมพ์การเมืองฉบับแรกของประเทศไทย”

“ดรุโณวาท” ทุกฉบับได้เรียงลำดับหน้าต่อเนื่องกัน เช่น ฉบับที่หนึ่ง มี 12 หน้า ฉบับที่สองก็จะเริ่มหน้า 13 ตามลำดับจนถึงหน้า 24

เข้าใจว่าคงมีเจตนาจะให้ผู้อ่านได้เก็บไว้อ่านนานๆ

เพราะ “แจ้งความให้ท่านทั้งปวงทราบทั่วกัน” ใน “ดรุโณวาท” ฉบับที่ 1 หน้า 3 ระบุว่า

“ผู้ใดได้รับหนังสือไปแล้ว, อย่าให้เสื่อมสูญเสียรักษาไว้ให้จงดี, เมื่อประสงค์จะทราบการสิ่งใดในหนังสือนี้, ดูจะได้โดยง่าย, ไม่ต้องขอยืมผู้ใดผู้หนึ่ง, ขอท่านทั้งปวงอนุเคราะห์, อย่าให้เสื่อมสูญเสียได้โดยเร็ว, จะได้เป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญ”

นั่นก็คือ ต้องการให้ “ดรุโณวาท” ดำรงอยู่ในลักษณะ “อ้างอิง” ได้

 

เอกสาร ลับมาก

จาก “สยามหนุ่ม”

การอ้างอิงในที่นี้ดำเนินไปตามบทสรุปของ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ 1 ต่อบทบาทของ “ดรุโณวาท” ว่าเป็นหนังสือพิมพ์การเมืองฉบับแรกของประเทศไทย 1 ได้โยงบทบาทของ “ดรุโณวาท” ไปยังบทบาทของ “กลุ่มสยามหนุ่ม” อย่างเป็นพิเศษ

ผ่านบทความ “แกนนำของกลุ่มสยามหนุ่มเมื่อต้นรัชกาลที่ 5” ตีพิมพ์ในหนังสือ “จตุศันสนียาจารย์”

อันเป็นหนังสือประเภท “พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ” พล.ต. หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี อาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ และคุณหญิงคณิตา เลขะกุล เนื่องในโอกาสมีอายุครบ 72 ปี ในพุทธศักราช 2547

โดยได้นำ “เอกสาร” อัน จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เก็บรักษาไว้อย่างยาวนาน

ต่อมาเอกสารนี้ได้ตกไปถึง พล.ต. หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี และเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการชำระกฎหมายตราสามดวง หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี ได้ให้ทัศนะที่เชื่อมโยงเอกสารไปยัง “กลุ่มสยามหนุ่ม” หรือ “Young Siam”

นี่คือการเดินทางของเอกสารจาก จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ผ่าน วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย ผู้เขียนหนังสือ “สัญญา ธรรมศักดิ์ คนของแผ่นดิน” มายัง ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ และ หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี รวมถึงที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมายตราสามดวงกระทั่งเกิดเป็นบทความในปี 2547

ซึ่ง ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ เรียกว่าเป็น “เอกสารต้นเรื่อง”

 

เปิด เอกสารต้นเรื่อง

ปฏิกิริยา แหลมคม

“เอกสารต้นเรื่อง” มีจำนวน 21 แผ่น แผ่นแรกมีข้อความว่า “เลขที่ 3 สมุดคำปฏิญาณและสำเนาลายพระราชหัตถเลขา” และมีข้อความตอนล่างว่า “สมุดคำปฏิญาณ (จริง) ขนาด 8 ซม. X ซม.)”

(ข้อความตอนล่างนี้คงจะเขียนเติมภายหลังเมื่อทำสำเนาเอกสารชุดนี้)

“เอกสารต้นเรื่อง” แบ่งออกเป็น 3 ตอน

ตอนแรก เป็นคำสัตย์ปฏิญาณสาบาลต่อกัน ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เฉพาะพระพักตร์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

มีข้อความทั้งหมด 6 ข้อใจความสำคัญของเอกสารตอนนี้อยู่ที่

ข้อ 2 ข้าพเจ้าจมีน้ำใจสัตยซื่อสุจริตทำราชการฉลองพระเดช/พระคุณ และป้องกันรักษาพระองค์ในพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉันใด ข้าพเจ้ามีน้ำใจสัตยซื่อสุจริตทำราชการฉลองพระเดช/พระคุณป้องกันรักษาสมเดจพระเจ้าลูกยาเธอทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่

ซรึ่งพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระราชหฤทัยให้สืบขัตติยราชตระกูลต่อไป

แลสมเด็จพระอัคมะเหษี ซรึ่งเป็นพระราชชนนีของสมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ ทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่ โดยความชอบธรรม

ข้อ 3 ข้าพเจ้าจตั้งใจทำราชการฉลองพระเดช/คุณ ในพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แลสมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ ทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่ ซรึ่งตั้งพระราชหฤทัยไว้จะให้สืบขัตติยราชตระกูล ตามที่ได้ว่ามาแล้ว

ถ้าจะมีผู้หนึ่ง/ใด นอกจากพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ ได้มาเป็นเจ้าแผ่นดินต่อไปแล้ว

ตัวข้าพเจ้าจไม่ทำราชการในการนั้นๆ ต่อไปจนตลอดชีวิตร ฉลองพระเดช/คุณแต่ในวงษพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซรึ่งทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ว่าเป็นทางตรงในขัตติยวงษนั้น

 

คำสัตย์ ปฏิญาณ

เมื่อปี 2424

เอกสารตอนนี้บันทึกไว้ว่า การกระทำสัตย์ปฏิญาณครั้งนั้นทำขึ้นเมื่อวันอังคาร แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตรีศก ศักราช 1243 ซึ่งตรงกับวันทางสุริยคติคือ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2424

เมื่อนำ “เอกสารต้นเรื่อง” ออกเปิดเผย ข้อสังเกต ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ต่อมาได้สถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ประสูติเมื่อ พ.ศ.2421

เมื่อมีการทำสัตย์ปฏิญาณกันในครั้งนั้นทรงมีพระชนม์เพียง 3 พรรษาเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคัดเลือกเจ้านายและข้าราชการที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยจริงๆ ให้ทำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เจ้านายและข้าราชการที่ได้รับคัดเลือกให้ถวายสัตย์ปฏิญาณเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นแกนนำสำคัญของ “กลุ่มสยามหนุ่ม” ภาระหน้าที่ของแกนนำเหล่านี้คือป้องกันรักษา สมเด็จเจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่

คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ให้ได้สืบขัตติยราชตระกูลต่อไป

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปริวิตกเป็นอย่างยิ่งเรื่องการสืบราชสมบัติ เพราะขณะนั้นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญหรือวังหน้าทรงอยู่ในสถานะเป็นพระมหาอุปราช

และ สมเด็จเจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ยังมีพระชนม์อ่อนวัยนัก