เมืองไทย กำลังกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนจีน (1)

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์www.facebook.com/bintokrit
(Photo by Manan VATSYAYANA / AFP)

คนจีนยุคปัจจุบันได้ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนก็คือเมืองไทย

โดยที่การโยกย้ายไปหาบ้านใหม่นี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเท่านั้น หากแต่ยังกระจายไปยังเมืองต่างๆ หลากหลายภูมิภาคด้วย

และเมืองที่เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของคนจีนก็คือ “เชียงใหม่” เมืองใหญ่อันดับสองรองจากกรุงเทพฯ

อดีตศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนาแห่งนี้มีลักษณะเด่นหลายประการที่เอื้อต่อการอาศัย ซึ่งทำให้ชาวจีนสนใจมาใช้ชีวิตอยู่ตลอดไปในระยะยาว ลักษณะดังกล่าวนั้นคืออะไร ทำไมเชียงใหม่จึงกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนจีนไปได้

เรื่องราวเหล่านี้ได้รับการสำรวจจาก The Guardian สื่อยักษ์ใหญ่จากอังกฤษมาอย่างน้อยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2567 แล้ว และถ่ายทอดเป็นบทความเรื่อง The Chinese émigrés leaving the pressures of home for laid back Chiang Mai เขียนโดยเอมมี ฮอวคินส์ (Amy Hawkins) และคริสโตเฟอร์ เชอร์รี (Christopher Cherry) เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2567 หรือวันสงกรานต์เมื่อปีที่ผ่านมานั่นเอง

รวมทั้งยังถ่ายทำสารคดีสั้นความยาว 9.25 นาที บอกเล่าชีวิตของชาวจีนในเชียงใหม่ผ่านกลุ่มตัวอย่างจำนวนหนึ่ง เรื่อง The ‘new China’ in Thailand : ‘if you want hope, you have to leave’  เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2568 หรือเมื่อในช่วงต้นปีที่เพิ่งผ่านมานี้ด้วย และมีผู้สนใจรับชมอย่างล้นหลาม

โดยบทความของเอมมี ฮอวคินส์ กับคริสโตเฟอร์ เชอร์รี นั้นมีเนื้อหาดังนี้

ชาวจีนคนแรกที่ฮอวคินส์กับเชอร์รีบอกเล่าเรื่องราวให้ได้รับรู้ก็คือ Xiong Yidan สาววัยสามสิบกลางๆ ที่ย้ายมาตั้งรกรากใหม่ในเชียงดาวด้วยการทำฟาร์มเล็กๆ ที่ดูจะไม่ได้มุ่งหวังทางธุรกิจมากนัก

เธอเป็นสาวโสดที่ไม่มีพันธะเรื่องครอบครัว ดังนั้น จึงสามารถย้ายถิ่นฐานได้ไม่ยากเท่าไหร่

ในฟาร์มของ Xiong มีสัตว์มากมาย ทั้งสุนัขจรจัดชื่อลัคกี้ (Lucky) ซึ่งแปลว่า “โชค” สุนัขตัวนี้กระโดดขึ้นแท็กซี่มากับเธอด้วยจากกรุงเทพฯ

เธอมีแพะสองพี่น้องชื่อ Boop กับ Pan ด้วย รวมทั้งสัตว์อื่นๆ อีกมากมายซึ่งเธอเลี้ยงไว้ในฟาร์มขนาด 8,000 ตารางเมตร

เดิมที Xiong ทำงานเป็นถึงระดับผู้บริหารการตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) ในปักกิ่งที่เปลี่ยนชีวิตขั้นสุดด้วยการหันมาเป็นเกษตรกร จนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวจีนผ่านสื่อโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง Xiaohongshu ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Instagram ที่คนไทยคุ้นเคย โดยเธอมีผู้ติดตามผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ถึง 38,000 คนเลยทีเดียว

Xiong กล่าวว่า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเรื่องราวของเธอได้แสดงให้คนจีนเห็นว่าการหันมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ใช่แค่เพียงภาพฝันในอุดมคติเท่านั้น และทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยบทบาทอันหลากหลาย (multiverse version)

ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร อินฟลูเอนเซอร์ นักธุรกิจ และสาวโสดที่ไม่มีทั้งสามีและลูก โดยมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลจากแรงกดดันของสังคมจีน

ชีวิตของ Xiong เป็นตัวอย่างหนึ่งของกระแสการย้ายประเทศที่แพร่หลายในหมู่ชาวจีนตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนรุ่นมิลเลนเนียล (millennial) ที่รู้สึกว่าการพัฒนาของจีนไปสู่เป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจแห่งศตวรรษที่ 21 นั้นไม่ได้ให้อะไรกับพวกเขาเลย ไม่ว่าจะในด้านสังคม ภูมิปัญญา และจิตวิญญาณ

ยิ่งเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาหลังวิกฤตโควิด อันสืบเนื่องจากนโยบาย Zero-Covid ของรัฐบาลจีนที่สร้างความบอบช้ำทางเศรษฐกิจและจิตใจของผู้คน จนนำไปสู่การตัดสินใจย้ายถิ่นฐานตามมา

ผลพวงจากเหตุการณ์ช่วงนั้นทำให้คนจีนย้ายประเทศมาอยู่ไทยไม่น้อย

นอกจาก Xiong แล้ว ในบทความของฮอวคินส์กับเชอร์รียังได้อ้างถึงหญิงชาวจีนอีกคนหนึ่งที่ไม่ระบุนาม เธอเคยเป็นผู้จัดการทั่วไปในบริษัทสตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้

ทว่า ปัจจุบันได้ย้ายถิ่นฐานมาแสวงโชคครั้งใหม่ในเชียงใหม่แล้ว เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการล็อกดาวน์ครั้งนั้นนั่นเอง

 

ชาวจีนอพยพมาอยู่ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา ตัวอย่างเช่น สถิติในปี พ.ศ.2565 รายงานว่ามีคนจีนยื่นขอวีซ่าอยู่อาศัยระยะยาวในไทยมากถึง 110,000 คน

ซึ่งกว่าครึ่งเป็นผู้ที่ใช้บริการวีซ่าแบบ “อีลิตการ์ด” (elite card) ที่ต้องจ่ายราคาเริ่มต้นถึง 900,000 บาทเลยทีเดียว

ในช่วงปี 2565 บรรยากาศในไทยมีอิสระและผ่อนคลายกว่าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีนมาก ในขณะนั้นเมืองไทยมีแม้กระทั่งกัญชาเสรีซึ่งในจีนไม่มี

แต่ต่อให้ไม่มีเรื่องกัญชาเข้ามาเกี่ยวข้อง การอยู่อาศัยในไทยก็ง่ายอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชียงใหม่ที่แต่เดิมเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์อยู่แล้วก็ยิ่งน่าดึงดูดใจให้ย้ายมาตั้งรกรากมากขึ้น

นอกจากชาวจีนที่มีปูมหลังทางธุรกิจและเปลี่ยนชีวิตมาเป็นเกษตรในเชียงใหม่แล้ว ตัวอย่างอื่นของคนจีนที่ย้ายมาไทยยังสะท้อนให้เห็นชีวิตในแบบอื่นด้วย ซึ่งมีมากกว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจแต่ยังรวมไปถึงปัญหาเรื่องเสรีภาพที่มีอย่างจำกัดจำเขี่ยในเมืองจีน

อันที่จริงบรรยากาศของเสรีภาพในจีนก็ใช่ว่าไม่เคยมีอยู่เลย หากแต่ปรากฏให้เห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว

เช่น การเกิดขึ้นของร้านหนังสืออิสระ โรงภาพยนตร์ และพื้นที่ทางสังคม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมทางปัญญาของผู้คนผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นภายในพื้นที่เหล่านี้ และเปิดให้ใครต่อใครสามารถสนทนาถกเถียงหรือแลกเปลี่ยนทัศนะกันในประเด็นต่างๆ ได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสตรีนิยม (feminism) ความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ประเด็นต่างๆ ทางปรัชญา หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาสนใจ

ซึ่งแม้จะมีข้อห้ามและข้อจำกัดอยู่ก็ตาม แต่กิจกรรมเหล่านี้ก็สามารถไต่เส้นและพอจะผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้

 

ทว่าบรรยากาศเหล่านี้ก็สิ้นสุดลงหลังการปกครองด้วย “หมัดเหล็ก” (iron-fisted rule) ของสี จิ้นผิง ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งทวีความเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งการไต่เส้นของกลุ่มกิจกรรมได้เดินทางถึงทางตันและทำให้หลงเหลือพื้นที่ของเสรีภาพอยู่เพียงน้อยนิด

ผลที่ตามมาก็คือทำให้คนจีนหัวเสรีตัดสินใจย้ายประเทศ และตัวอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่ไทยก็คือชีวิตของชายชาวจีนที่เกิดในแผ่นดินใหญ่ชื่อ Zhang Jieping ซึ่งหันมาเปิดร้านหนังสืออิสระขึ้นในเชียงใหม่ชื่อ “Nowhere Bookstore” โดยเริ่มกิจการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2566 ที่ผ่านมานี่เอง

นอกจากที่เชียงใหม่แล้ว เขายังเปิดอีกสาขาหนึ่งที่ไทเปอีกด้วย ดูเหมือนว่าร้านหนังสือของ Zhang Jieping จะอยู่ได้เฉพาะในดินแดนที่ยังพอมีเสรีภาพเท่านั้น

โดยพื้นฐานแล้ว Zhang Jieping เป็นสื่อมวลชน เขาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) แต่เขาต้องการใช้พื้นที่ของร้านหนังสือแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนจะสามารถหาข้อมูลต่างๆ ที่ไม่อาจหาได้ในเมืองจีน หรือรวบรวมทัศนะ ข่าวสาร ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่กระจัดกระจายมาอยู่ในที่เดียว และทำให้เกิดพื้นที่เสรีอันสามารถสนทนาถกเถียงเรื่องต่างๆ ได้

ด้วยเหตุนี้ Nowhere Bookstore จึงกลายเป็นศูนย์รวมข้อมูลอันเสรีที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาสิ่งที่พวกเขาต้องการแต่หาไม่ได้จากจีนแผ่นดินใหญ่

เช่น การประท้วงในสมุดปกขาวในปี 2565 (2022 white paper protests) หรือเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 (1989 Tiananmen Square massacre) เป็นต้น

อ่านต่อฉบับหน้า