ดั้งแหมบ

นิสัยเสียของผมข้อหนึ่งคือมักมีความจำแม่นเวลาได้ยินคำพูดแปลกๆ ซึ่งเกิดมาไม่เคยได้ยิน สมัยเด็กๆ ผมเคยดูหนังที่คุณลักษณ์ อภิชาติ ด่านักแสดงหญิงก่อนตบจูบว่า “อีโรงโม่หิน” ซึ่งเป็นคำที่ผมไม่เข้าใจมาถึงบัดนี้ และล่าสุดคำว่า “ดั้งแหมบ” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็คืออีกคำที่อยู่ในหัวผมไม่มีวันลืม

แน่นอนว่าตอนนี้ผมรู้ว่า “ดั้งแหมบ” หมายถึงอะไร แต่ที่ยังไม่เข้าใจทำไมคุณทักษิณพูดแบบนั้นในสังคมแบบนี้

ยิ่งกว่านั้นคือทำไมคนบางกลุ่มเถียงว่าคำพูดนี้ไม่ได้เหยียดผิว แต่คุณทักษิณพูดเพื่อสะท้อนว่าความงามไม่ได้มีแบบเดียว และรัฐบาลต้องการให้ “ดั้งแหมบ” เป็นความงามระดับสากล

เป็นคำอธิบายที่ฟังแล้วซอฟต์เพาเวอร์ชะมัด และเป็นคำอธิบายที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงข้อสังเกตว่าซอฟต์เพาเวอร์ตอนนี้กลายเป็นอะไรก็ได้ รวมทั้งเป็นคำอธิบายที่ชวนให้สงสัยด้วยว่านี่กำลังพูดถึงคุณทักษิณหรือเฟมินิสต์อย่าง Camille Paglia หรือนักเขียนอย่าง Autumn Whitefield-Madrano

ถึงตอนนี้ซอฟต์เพาเวอร์จะมีความหมายแค่กางเกงลายช้างและการตั้งองค์กรสอนอาชีพใหม่ๆ แบบรายการ “ลุงขาวไขอาชีพ” สมัยก่อน แต่หัวใจของซอฟต์เพาเวอร์คือการสร้างสินค้าวัฒนธรรมที่มีมูลค่าและอำนาจนำทางวัฒนธรรม

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับที่คุณทักษิณพูดว่า “ดั้งแหมบ” เลย

 

กองเชียร์คุณทักษิณอ้างว่าคุณทักษิณพูดว่า “ดั้งแหมบ” เพราะรัฐบาลอยากให้ความงามแบบไม่มีดั้งเป็นความงามอีกแบบในโลก

แต่ “ดั้งแหมบ” เป็นคุณลักษณะของคนในแถบอุษาคเนย์แทบทั้งหมด อยู่ดีๆ ไทยจะยึด “ดั้งแหมบ” เป็นของไทยแล้วทำให้เป็นสินค้าวัฒนธรรมระดับโลกได้อย่างไร

ถ้า “ดั้งแหมบ” เป็นความงามแบบอุษาคเนย์เพื่อสู้ “ดั้งโด่ง” ไทยก็ไม่ใช่เจ้าของ “ดั้งแหมบ” จนไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากการสร้างมาตรฐานความงามแบบนี้

และยิ่งคุณอุ๊งอิ๊งอ้างว่าพ่อพูดเรื่อง “ดั้งแหมบ” เพราะไม่อยากให้คนไทยทำศัลยกรรมทำจมูกทำนม คำแก้ตัวนี้ก็เป็นเรื่องตลกโดยสิ้นเชิง

หากจะทำให้ “ดั้งแหมบ” เป็นมาตรฐานความงามสู้ “ดั้งโด่ง” รัฐบาลต้องผลักดันให้เกิดหนัง, ละคร, ซีรีส์, แฟชั่น, วรรณกรรม, เซเลบ, เพลง ฯลฯ ที่เชิดชูมาตรฐานความงามแบบ “ดั้งแหมบ” ให้เป็นวัฒนธรรม Pop Culture อีกมหาศาล

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีทางทำได้และใหญ่เกินศักยภาพรัฐบาลจะทำ

 

ยิ่งคุณทักษิณพูดเรื่องนี้โดยบอกว่าคนแอฟริกานั้นดำก็ดำ แล้วจมูกก็ “ดั้งแหมบ” ความงามแบบคนแอฟริกายิ่งไม่ใช่เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ที่รัฐบาลไทยจะไปยุ่งอะไร

ซ้ำมาตรฐานโลกเรื่องความดำคือความงามก็แข็งแกร่งอยู่แล้วจนไม่ใช่ธุระอะไรของคุณทักษิณ และเราไม่มีศักยภาพทำแบบนั้นเลย

มาตรฐานเรื่องความดำคือความงามเติบโตจากความแข็งแกร่งของอำนาจคนดำ (Black Power) ในแง่อำนาจซื้อและอำนาจการเมืองในสหรัฐยุคสิทธิพลเมือง ทั้งหมดนี้สร้างไม่ได้ ไม่มีใครสร้าง แต่มาจากการต่อสู้ทางการเมืองวัฒนธรรมจนความคิดใหม่มีอำนาจนำแทนการเชิดชูคนขาวกลุ่มเดียว

ความน่าทึ่งของขบวนการ Black Power คือการมีองค์ประกอบที่สู้กับสังคมคนขาวเป็นใหญ่ (White Supremacy) โดยไม่ประนีประนอมทางวัฒนธรรม คนดำสร้างแจ๊ซ, แร็พ, โซล, โทนี่ มอร์ริสัน, Alain Locke, คอร์เนส เวสต์, Tommie Shelby ฯลฯ จนไม่มีทางพูดถึงโลกโดยไม่พูดชื่อเหล่านี้เลย

หนึ่งในนักร้องที่ผมชอบที่สุดคือ Nat King Cole ที่เสียงบาริโทนของเขาเป็นเสาหลักของเพลงป๊อปโลกจนปัจจุบัน แต่ผมชอบ Nat ในฐานะนักเปียโนแจ๊ซไม่น้อยกว่านักร้อง และหลายคนอาจไม่รู้ว่าเมื่อ Nat เป็นคนดำคนแรกที่ร้องเพลงออกทีวีสหรัฐปี 1956 เขาต้องแต่งหน้าให้ขาวเพื่อเอาใจผู้ชม

Nat ออกทีวีครั้งแรกในยุคที่คนดำห้ามขึ้นรถเมล์และเรียนโรงเรียนเดียวกับคนขาว แต่หลังจากนั้น 53 ปี สหรัฐมีคนดำเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปี 2009 และมีโอกาสมีประธานาธิบดีหญิงเชื้อสายอินเดียในปี 2024

ขณะที่คุณทักษิณพูดเรื่อง “ดั้งแหมบ” ว่าคนแอฟริกาตัวดำจมูกแบนจนหายใจไม่ดี

 

“ดั้งแหมบ” คือการเหยียดผิวและเหยียดเชื้อชาติแน่ๆ เพราะมีการใช้คำพูดแบบเหมารวมกับคนบางเชื้อชาติ (คนแอฟริกาดำก็ดำ) และตีตราว่าเชื้อชาตินั้นด้อยกว่าเชื้อชาติอื่น (ดั้งแหมบหายใจลำบาก) ไม่ว่าคนพูดจะชื่อทักษิณหรือไม่ และไม่ว่าจะตั้งใจเหยียดหรือเพราะความเขลา (Ignorance) ก็ตาม

ผมคิดว่า “ดั้งแหมบ” เป็นปรากฏการณ์ของคนรุ่นคุณทักษิณจำนวนมากซึ่งไม่รู้ว่าคนรุ่นปัจจุบันในโลกทุกวันนี้ให้คุณค่ากับความหลากหลาย, การไม่เลือกปฏิบัติ, การเคารพความแตกต่าง และไม่ยอมรับวัฒนธรรมที่เหยียบกดดูถูกคนอื่นให้ต่ำเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นอย่างที่คุณทักษิณทำลงไป

ไม่ใช่ความลับว่าคุณทักษิณเชื่อและทำให้คนอื่นเชื่อว่าคุณทักษิณ “ทันสมัย” กว่าคนแก่คนอื่นในรุ่นเดียวกัน และเมื่อเทียบกับคนรุ่นไล่เลี่ยอย่างคุณชวน หลีกภัย, คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ และคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณทักษิณก็ดู “ทันสมัย” กว่าคนเหล่านี้จริงๆ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณทักษิณจะเป็นคนที่เท่าทันโลกที่สุดในสังคม

สังคมไทยปี 2568 เหมือนสังคมอื่นในโลกที่เปลี่ยนจนเกิดปัญหาใหม่ๆ ที่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชอบเรียกแบบฝรั่งว่า “ความท้าทายใหม่ๆ” และหลายประเทศพูดถึง Responsive and Just Governance หรือระบอบการปกครองที่ตอบสนองความท้าทายใหม่ๆ อย่างเป็นธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลนี้ไม่พูดถึงเลย

รัฐบาลประยุทธ์คิดผิดเรื่องให้คุณประยุทธ์เป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ใครไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี แต่ความคิดเรื่องรัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์นั้นไม่ผิด และสิ่งที่ขาดไปในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร คือการคิดเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งไม่มีทั้งคู่ เพราะกลไกรัฐบาลหวังพึ่งพิงคุณทักษิณอย่างเดียว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณทักษิณเป็นทั้งเจ้าของและสินทรัพย์สำคัญที่สุดของรัฐบาล ปัญหาคือรัฐบาลจะทำอย่างไรหากคุณทักษิณไม่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงและ “ความท้าทายใหม่” ในโลกปัจจุบันต่อไปอีก

คำพูดเรื่อง “ดั้งแหมบ” สะท้อนการไม่อัพเดตซอฟต์แวร์ตัวเองของคุณทักษิณซึ่งมีอีกหลายกรณี

 

ในการแสดงวิสัยทัศน์ของคุณทักษิณที่หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นครั้งล่าสุด คุณทักษิณแสดงแนวคิดฟื้นฟูเศรษฐกิจที่หลายเรื่องไม่สมเหตุสมผลจนไม่ควรทำต่อไปอย่างที่สุด ตัวอย่างเช่น การฟื้นฟูตลาดหุ้นโดยฟื้นนโยบาย LTF ทั้งที่กองทุน LTF ในรอบหลายปีตกต่ำจนคนส่วนใหญ่ขาดทุนมากกว่ากำไร

ด้วยเงื่อนไขที่ตลาดหุ้นยุครัฐบาลเพื่อไทยตกต่ำกว่ายุครัฐบาลประยุทธ์ และตลาดหุ้นไทยในรอบสิบปีแทบไม่เติบโตเลย นโยบาย LTF กลายเป็นนโยบายที่ถูกมองว่ามีแต่กองทุนและสถาบันการเงินที่ได้ประโยชน์ ขณะที่ผู้ซื้อไม่ได้อะไร และประเทศเสียโอกาสได้ภาษีที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปฟรีๆ

ปี 2025 คือปีที่โลกเกิด “ความท้าทายใหม่” ในความหมายของ World In Flux หรือโลกผันผวนหลายแง่มุม ตัวอย่างเช่น การกีดกันการค้าและกำแพงภาษีแบบทรัมป์ส่งผลต่อโลกแค่ไหน ประเทศฝ่ายใต้ควรปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอย่างไร ทำอย่างไรกับค่าเงินสหรัฐที่แข็งขึ้นระยะยาว ฯลฯ

เฉพาะในประเทศไทยเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ภาคการผลิตไม่โต การจ้างงานใหม่ไม่เกิด การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีแจกเงินไม่ได้ผล รายได้เฉลี่ยประชาชนไม่เพิ่ม การค้าขายฝืดเคือง และทั้งหมดนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรแม้แต่นิดเดียว

จุดขายของคุณทักษิณคือการทำให้คนเชื่อว่าเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วเศรษฐกิจไทยโต แต่ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยโตนั้นต้องการมากกว่าความเชื่อ และวิสัยทัศน์ที่คุณทักษิณแสดงในหลายเวทีไม่เคยพูดถึง “ความท้าทายใหม่” ว่ามีทางออกอย่างไรนอกจากการแจกเงินและการทำบ่อนเลย

 

ถ้าคุณทักษิณคือ Visionary Leadership อันดับหนึ่งของรัฐบาล วิสัยทัศน์ที่คุณทักษิณพูดไม่ได้ให้หลักประกันว่าเศรษฐกิจไทยจะโตและคนไทยจะได้อะไรจากการเติบโตแม้แต่นิดเดียว

ปัญหาใหญ่ของประเทศเวลานี้คือ การเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจไร้อนาคต สองเรื่องนี้รัฐบาลยังให้ความหวังไม่ได้ วิสัยทัศน์คุณทักษิณไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด และอาจถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ประเทศต้องมีผู้นำความคิดกลุ่มใหม่ๆ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศสักที

คนรุ่นเดียวกับคุณทักษิณควรพัก เช่นเดียวกับคุณทักษิณที่ควรพักเหมือนคุณชวน, คุณประยุทธ์ และคุณประวิตร และคนไทยควรมีรัฐบาลที่เข้าใจโลกจนรู้ว่า “ดั้งแหมบ” เป็นคำที่ไม่ควรพูดเลยในโลกปัจจุบัน