Maew (แม้ว) made destination

“เมกะโปรเจ็กต์” ที่ถูกพูดอย่างมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกกันหรูหราว่า “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” (จริงๆ ก็คือกาสิโนถูกกฎหมาย)

หลังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจเมื่อ 13 มกราคม

ตกเย็นวันเดียวกัน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นบิดาของนายกฯ คนปัจจุบัน ขึ้นพูดบนเวทีดินเนอร์ทอล์ก หัวข้อเสวนา “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” ประกาศเดินหน้าโปรเจ็กต์ยักษ์ เรือธงใหม่รัฐบาลเพื่อไทย ให้กำเนิด เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

จะมีการลงทุน 5 แสนล้าน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์กระเตื้องขึ้น ยืนยันฟันธง จะสำเร็จในช่วงรัฐบาลแพทองธาร หรืออีก 2 ปีนับจากนี้

ที่เป็นที่พูดถึงมาก เพราะเนื้อในของเรื่องนี้ดูจะยังไม่ตกผลึกในสังคม รายละเอียดต่างๆ ในข้อกฎหมายยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดมากนัก ทั้งที่เป็นเรื่องที่อยู่ในระดับ “อ่อนไหวสูง” เพราะกระทบต่อสังคม

เมื่อคนมองไม่เห็นระบบที่จะมาป้องกันชัดเจน และยิ่งเมื่อ 2 พ่อลูกชินวัตร เป็นผู้ประสานเสียงนำเดินหน้าทำคลอดเมกะโปรเจ็กต์นี้ การตั้งคำถามด้วยเสียง “อันดัง” จึงตามมาติดๆ

 

อันที่จริงเรื่องกาสิโนเสรีถูกกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องใหม่เพิ่งเคยถูกพูดถึงในสังคม มันถูกพูดถึงมาหลายทศวรรษในหลายรัฐบาล เริ่มจากวงวิชาการมหาวิทยาลัย มีรายงานวิจัย บทความวิชาการเขียนขึ้นมากมายช่วงทศวรรษ 2540

ตัวนายทักษิณเองก็เคยเสนอแนวคิดนี้ตั้งแต่ยุครัฐบาลไทยรักไทย เพียงแต่ครั้งนั้นกระแสต้านในประเด็นจริยธรรมยังสูง คนมองไม่เห็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ซ้ำนายทักษิณยังถูกยึดอำนาจก่อน

มาในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีการนำเสนอแนวคิดนี้แต่ยังคงถูกแช่แข็งจากปัญหาการเมือง ไม่ถูกนำมาถกเถียงจริงจังให้เป็นกฎหมาย แล้วก็ถูกยึดอำนาจซ้ำอีก

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในยุครัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

หลังประเทศไทยบอบช้ำอย่างหนักจากวิกฤตไวรัสโควิด แนวคิดกาสิโนถูกกฎหมาย-เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จึงถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยกันในสภา จนที่ประชุมส่วนใหญ่ไฟเขียวให้ตั้งกรรมาธิการศึกษา

มาเป็นรูปร่างก็ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน หลังสภามีมติเห็นชอบให้มีการตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพื่อแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง เป็นประธาน

ในมุมของนายทักษิณ ก็ยังมั่นคงต่อแนวคิด โดยในการขึ้นพูดสาธารณะครั้งแรกหลังกลับเข้าประเทศไทยในปี 2566 นายทักษิณก็ตอกย้ำนำเสนอเรื่องนี้

กระทั่งสัปดาห์นี้เองที่กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ดูจะมีอนาคตเป็นจริงมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา

ไม่ว่าจะเป็นแพทองธาร ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ พูดเป็นเสียงเดียวกัน “ยกสิงคโปร์เป็นต้นแบบ” สร้าง Man-Made Destination

กรณีของไทย ภายใต้นักการเมืองที่ทรงอิทธิพลอยู่ขณะนี้ จะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า นี่คือ “Maew-Made Destination” ก็คงไม่ผิดนัก

 

มาถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า โอกาสที่กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกฎหมายกาสิโน จะออกมาเป็นกฎหมายตัวจริง บังคับใช้จริง มีอยู่สูงมาก

เนื่องจาก ส.ส.พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านส่วนใหญ่ ดูจะเห็นไปในทางเดียวกัน

แม้แต่พรรคประชาชน (พรรคก้าวไกลในอดีต) ก็เคยหาเสียงด้วยนโยบายนี้ เพียงแต่อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด

หากจะมีความขัดแย้งกัน ก็คงจะมีการถกเถียงหารือกันในชั้นกรรมาธิการ หรือในที่ประชุมสภา รวมถึงการหารือนอกวงประชุม

ต้องยอมรับว่า เพราะ “ความซบเซาระดับสูง” ในทางเศรษฐกิจของประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยเร่งให้กฎหมายนี้เกิดขึ้นจริง

ประเทศเราขาดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงที่ยังไม่รู้คนจะหาเงินเข้ากระเป๋าจากไหน ปัญหาดิสรัปชั่นทางเศรษฐกิจ รายจ่ายภาครัฐมหาศาล ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีเข้าประเทศ

เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลที่จะใช้กระตุ้น แทบไม่เหลือ นโยบายเรือธงหลายอย่างของรัฐบาลยังไร้อนาคต ที่ทำไปก็ยังไม่เห็นผลรูปธรรมราวกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

เมื่อทางอื่นมันเหนื่อยมาก ไม่แปลกเลยหากรัฐบาลเพื่อไทย และนายทักษิณจะหยิบเอาเรื่องกาสิโนและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์มาเป็นเรือธง หวังเดินหน้าต่อจริงจัง

 

เมื่อไปสำรวจท่าทีของฝ่ายต่างๆ ก็น่าสนใจ

พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลปีก่อน เคยให้ยังบลัด “ภูมิใจไทย” ตั้งโต๊ะแถลงข่าว คัดค้านจริงจัง คราวนี้มีท่าทีอ่อนลงเยอะ

ขณะที่พรรคแนวอนุรักษนิยมเข้มกว่าหน่อยอย่างรวมไทยสร้างชาติ กลับเห็นท่าทีที่อ่อนลงเช่นกัน ดูจาก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี มือกฎหมายของพรรคที่ออกมายืนยันว่าเห็นด้วยกับกฎหมายนี้มานานแล้ว ควรเอาการพนันมาไว้บนดิน แต่ต้องพิจารณาเรื่องจำกัดต่างๆ ใหม่ ต้องโฟกัสให้ถูกจุด โดยรวมถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ขณะท่าทีจากภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ที่พบผ่านพื้นที่สื่อสารสาธารณะ มีตั้งแต่ตั้งคำถาม ตักเตือน ไปจนถึงคัดค้าน

 

เริ่มตั้งแต่ปี 2566 ที่รัฐบาลเศรษฐารับทราบรายงานการศึกษาของสภา ก่อนส่งต่อไปให้กระทรวงการคลัง ครั้งนั้น 99 นักวิชาการทั่วประเทศก็ออกแถลงการณ์ค้าน โดยกังวลว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมให้มีบ่อนกาสิโนเสรี คนจะยิ่งเข้าถึงกาสิโนได้ง่าย เป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย อาจจะเสี่ยงต่อการฟอกเงิน ธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ รวมถึงการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มขึ้น จึงควรทำการศึกษาให้ครบถ้วนทุกมิติก่อนที่จะหวังพัฒนาประเทศด้วยอบายมุข

ขณะที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน อย่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ก็ออกมาตักเตือนเรื่องผลกระทบทางสังคม

“วัตถุประสงค์จริงๆ ที่บอกว่าเป็น Man-Made Destination ใช้เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับเอาเรื่องนี้มาครอบเพื่อจะผลักดันบ่อนกาสิโน อันนี้เป็นประเด็นที่เราตั้งข้อสงสัย สิ่งที่เราอยากได้ความชัดเจนก็คือ เรื่องมาตรการที่จะป้องกันปัญหาสังคมและความโปร่งใสในการให้สัมปทาน” นายณัฐพงษ์ระบุ

 

แม้รัฐบาลมี “เป้าหมายที่ดี” ในการเดินหน้าเรือธงใหม่อย่างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หวังจะนำเงินเข้าประเทศให้มากกว่านี้ แต่ต้องยอมรับว่า หากจะเดินหน้าเรื่องนี้ เรื่องหลักๆ ที่ยังคงเป็นคำถามในสังคม อาทิ

1. กระบวนการทั้งหมดต้องโปร่งใส ต้องกางรายละเอียดโครงการออกมาให้คนวิจารณ์ ถกเถียงข้อดี-ข้อเสียให้ตกผลึก ตั้งแต่มิติทางกฎหมาย

2. ต้องวางระบบป้องกันมิจฉาชีพ ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีหลบเลี่ยง ใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน เพราะเป็นที่รู้กันว่าธุรกิจสีเทาประเทศเราและใกล้เคียงมีอยู่มากจนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งสแกมเมอร์ พนันออนไลน์ หลอกลวงออนไลน์ระดับโลก

3. ต้องวางระบบป้องกันผลกระทบทางสังคม ป้องกันคนเปราะบางไม่ให้เข้าถึงได้ง่าย

4. ต้องมีกลไกที่ชัดเจนในการกระจายผลประโยชน์สู่คนส่วนใหญ่ มากกว่าแค่กระจุกกับกลุ่มทุน โดยดูบทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านก็ล้วนมีกาสิโน แต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับคนหยิบมือเดียว

หากไม่มีระบบป้องกันที่ดีรองรับ “จุดจบของไทย” อาจจะไม่เหมือนสิงคโปร์แบบที่นายทักษิณและนายกฯ แพทองธารฝัน แต่อาจเป็นแบบเมืองกาสิโนในกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เละเทะอยู่ทุกวันนี้

 

ทั้งหมดจึงเป็นโจทย์สำคัญให้นายทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทย หากต้องเดินหน้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ต้องทำอย่าง “ระวัง” ต้องยก “การ์ดระดับสูง”

อย่าลืมว่านายทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้นั่งอยู่สวยๆ ในเก้าอี้อำนาจ เดินบนทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ

กลับกัน นายทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยกำลังนั่งทับ “ระเบิดเวลาการเมือง” และเดินอยู่ใน “ดงกับระเบิด” ต่างหาก

เดินหน้านโยบายผิด ก็เหมือนตัดสายระเบิดผิด

ขบวนการขับไล่ที่ขู่ฮึ่มๆ อยู่เวลานี้ ก็พร้อมใช้อ้างเหตุลงถนน ระเบิดพลัง ขับไล่ เหมือนกัน