เมื่อ ‘อีวีจีน’ ทำลายอุตฯ รถยนต์ไทย

กัลยาณมิตรท่านหนึ่งชี้แนะมาว่า ข้อเขียนที่ปรากฏในลอสแองเจลิส ไทม์ส เมื่อไม่นานมานี้เสนอประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทย

เมื่อตรวจสอบดู ผมพบว่า ข้อเขียนดังกล่าว ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย ที่เคยมีส่วนสำคัญในการปั้นจีดีพีของประเทศ กำลังถูกทำลายลงในหลายทิศทาง พร้อมๆ กัน

เริ่มต้นจากการปิดตัวของโรงงานผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นในไทย ไล่เรียงตั้งแต่ ซูบารุ ที่ยุติการผลิตไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซูซูกิ วางแผนยุติการผลิตในเดือนธันวาคม ส่วนฮอนด้า และนิสสัน กำลังทยอยลดการผลิตลง

ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งต่อการจ้างงานและต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย

สาเหตุหลักก็คือ การมาถึงของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อีวี จากประเทศจีน ที่ลงทุนในไทยไปแล้วกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว สำหรับสร้างโรงงานผลิตรถยนต์อีวีขึ้นในไทย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลไทย ที่ต้องการให้เมื่อถึงปี 2030 รถที่ผลิตในไทยต้องเป็นอีวี ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

โดยไม่ทันคาดคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ “สงครามราคา” ที่เล่นเอาโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นทั้งหลาย ถึงกับสะอึก จนอดคิดไม่ได้ว่า คุ้มค่าหรือไม่ที่จะอยู่ในไทยต่อไป

 

ปัญหาที่กระทบต่อคนไทยเราโดยตรงก็คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งแต่เดิมที่เคยเป็นแหล่งที่มาของการจ้างงานมากกว่า 800,000 ตำแหน่ง สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีทั้งหมด กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่แน่นอนมากขึ้นตามลำดับ

แรงงานที่เคยทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ไม่คิดว่าโรงงานผลิตสัญชาติจีน จะว่าจ้างคนไทยให้ทำงานต่อกับโรงงานของตน โดยเหตุผลสำคัญประการแรกสุดก็คือ จีนไม่ชอบและไม่ยินดีที่จะทำงานกับแรงงานภายใต้ระบบสหภาพแรงงานอย่างที่เป็นอยู่

ประการถัดมา เชื่อกันว่า โรงงานจีนจะหันไปใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังนิยมที่จะว่าจ้างแรงงานสัญชาติจีนเช่นเดียวกับตนเป็นหลัก

หรือไม่ก็หันไปหาแรงงานอพยพที่นำเข้ามาจากเวียดนาม ที่ถนัดในระบบอัตโนมัติมากกว่าแรงงานไทย

 

ผู้เขียนให้ข้อมูลเอาไว้ถึงที่มาของสงครามราคาว่า เกิดขึ้นเนื่องจากไทยนั้นส่งออกรถยนต์เพียงแค่ 2 ใน 3 ของจำนวนที่ผลิตได้ โดยส่งออกไปยังออสเตรเลียเป็นหลัก ต่อด้วยซาอุดีอาระเบีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

ดังนั้น ส่วนที่เหลือจึงต้องขายให้กับตลาดภายในประเทศ เมื่อเศรษฐกิจของไทยมีปัญหา ยอดขายย่อมลดฮวบลงเป็นธรรมดา

ยอดขายรถยนต์โดยสารในไทยทั้งปีมาจนถึงกันยายนปีที่แล้ว หายไปมากถึง 23 เปอร์เซ็นต์ หลงเหลือเพียงยอดขายรถอีวี ที่เป็นสัญชาติจีนเท่านั้น ที่ยังเพิ่มขึ้นถึง 11 เปอร์เซ็นต์

นี่คือที่มาของสงครามราคาที่ยิ่งกระทบกับรถสัญชาติญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้นไปอีก

รถใช้น้ำมันยังคงมีสัดส่วนการขายอยู่ในระดับสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด แต่คาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน

เหตุผลสำคัญก็คือ รถอีวี ไม่เพียงแต่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ที่ช่วยเหลือทั้งสองทาง คือทั้งทางฝั่งผู้ซื้อและผู้ผลิตแล้วเท่านั้น ผู้ผลิตจากจีนยังนำเสนอราคาขายภายใต้แคมเปญลดราคาหั่นแหลก

ตัวอย่างเช่น บีวายดี ยักษ์ใหญ่อีวีจากจีน ที่ตั้งราคาขายรุ่นที่ถูกที่สุดในไทยไว้ที่ไม่ถึง 25,000 ดอลลาร์ เท่านั้นเอง

 

อุตสาหกรรมอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการมาของรถอีวีจากจีน ก็คือ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทย ที่ว่ากันว่า ในจำนวนที่มีอยู่มากกว่า 600 โรงงาน น่าจะหลงเหลือเพียงนับสิบโรงเท่านั้น ที่จะปรับตัวตอบสนองต่อโรงงานอีวีของจีนได้

สาเหตุสำคัญก็คือ จีนไม่เพียงผลิตชิ้นส่วนได้เองเท่านั้น ยังผลิตได้ในราคาถูกกว่าได้อีกต่างหาก

โรงงานผลิตชิ้นส่วนของไทย มักถูกปฏิเสธด้วยคำบอกเล่าที่ว่า ราคาที่นำเสนอสูงเกินไปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์

เพียงเท่านี้ก็จบเห่แล้วล่ะครับ