ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
ช่วงต้นเดือนมกราคม มีโอกาสไปเที่ยวงานเทศกาลดนตรี “rockin’on sonic” ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น (อย่างไรก็ตาม ตอนไปซื้อตั๋วรถไฟที่สนามบินนาริตะ คุณพี่คนขายตั๋วสอนให้ออกเสียงชื่อเมืองนี้ว่า “ชีบะ” ไม่ใช่ “ชิบะ”)
นับว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของตนเองเหมือนกัน ที่ได้ไปร่วมชมเทศกาลดนตรีใน “ฤดูหนาว” ของประเทศในเขต “เมืองหนาว”
ขณะที่ก่อนหน้านี้ มักไปชมคอนเสิร์ตหรือการแสดงดนตรีในช่วง “ฤดูร้อน” (ซัมเมอร์) ของประเทศเหล่านั้น หรือไม่ก็เคยชมการแสดงดนตรีในช่วงฤดูหนาวปลายปีของบ้านเรา
ราคาค่าตั๋วเข้าชมงานสองวัน (4-5 มกราคม) อยู่ที่ 36,410 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 8,000 บาท (ราคาไม่ได้แตกต่างจากค่าเข้าชมเทศกาลดนตรีนานาชาติที่จัดในบ้านเราสักเท่าไหร่)
แต่กระบวนการรับบัตรกลับมีความซับซ้อนขึ้นอีกเล็กน้อยสไตล์ญี่ปุ่น กล่าวคือ ก่อนงานแสดงจะเริ่มสองวัน ทางผู้จัดงาน/ผู้จัดจำหน่ายบัตรจะส่งเลขรหัสและบาร์โค้ดรับบัตรมาให้เราทางอีเมล แล้วเราก็ต้องนำหลักฐานนั้นไปแสดงยังร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น สาขาใดก็ได้ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้พนักงานเซเว่นฯ ปรินต์ตั๋วกระดาษออกมาให้
ครั้นพอถึงวันเริ่มแสดง เราจึงค่อยถือตั๋วกระดาษไปแลกรับสายรัดข้อมือที่หน้างานอีกทีหนึ่ง
งาน “rockin’on sonic” จัดขึ้นที่ “มาคุฮาริ เมสเสะ” ศูนย์การประชุมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสามารถรองรับงานดนตรีที่มีผู้เข้าชมในหลักหลายหมื่นคนได้แบบสบายๆ แถมยังมีงานอื่นๆ (เช่น งานแฟนมีตไอดอล) จัดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันด้วย
กระบวนการเข้างานจะแบ่งผู้ชมออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ถือบัตรเข้างานสองวัน และกลุ่มที่ถือบัตรเข้างานวันเดียว แม้คิวจะดูแออัดหนาแน่น แต่กระบวนการตรวจสอบตั๋วและกระเป๋าก็ดำเนินไปอย่างกระชับรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ชมจำนวนมากสามารถหลั่งไหลเข้างานได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด
พอเข้าไปในฮอลล์ที่จัดงานเรียบร้อยแล้ว ก็มีบูธขายสินค้าที่ระลึกตั้งดักอยู่ โดยจะมีการแบ่งออกเป็นบูธขายเสื้อยืดที่ระลึกของเทศกาลดนตรี และบูธจำหน่ายสินค้าที่ระลึกของศิลปินรายต่างๆ ที่จะมาแสดงสดในเทศกาล
แน่นอน แถวของแฟนเพลงซึ่งรอคอยซื้อสินค้าที่ระลึกจากศิลปินโปรดก็จะแน่นขนัดหน่อย ขณะที่กระบวนการซื้อ-ขายสินค้าของคนญี่ปุ่น ก็มีความละเอียดลออพอสมควร
ทั้งคนซื้อ ที่หลายรายขอตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าเป็นรายชิ้น หรือไม่ก็เอาเสื้อยืดมาทาบวัดขนาดกับร่างกายตนเองทีละตัว ขณะที่คนขายก็บวกเลขช้าๆ คิดทวนราคาซ้ำๆ สองหน เพื่อให้มีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด
กระนั้นก็ตาม ต้องยอมรับว่า กระบวนการบริหารจัดการงานในส่วนอื่นๆ นั้นทำได้ดีและมีความน่าสนใจ
บริการหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ บริการรับฝากของ ซึ่งเราจะต้องไปจ่ายเงิน 1,500 เยน (ราวๆ 330 บาท) ที่เคาน์เตอร์ผู้จัดงาน แล้วก็จะได้รับถุงพลาสติกขนาดใหญ่มากมาใบหนึ่ง พร้อมสติ๊กเกอร์แบบฟอร์มฝากของที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นล้วน (แต่สรุปความได้ว่า ให้เรากรอกชื่อ -ภาษาอังกฤษ- และเลขพาสเวิร์ดสี่ตัวลงไปในนั้น)
ครั้นพอยัดเสื้อกันหนาว ของใช้ที่ไม่จำเป็นอื่นๆ ตลอดจนสินค้าที่ระลึกที่เพิ่งซื้อ ลงไปในถุงพลาสติก และกรอกข้อมูลบนสติ๊กเกอร์ฝากของเสร็จเรียบร้อย เราจึงค่อยนำสัมภาระทั้งหมดไปฝากไว้ยังศูนย์บริการรับฝากของ ซึ่งตั้งอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของงาน
ก่อนเข้างาน ผมมีความสงสัยคลางแคลงใจอยู่แล้วว่า ด้วยความที่อากาศข้างนอกนั้นอยู่ในขั้นหนาวมาก (อุณหภูมิไม่ถึง 10 องศาเซลเซียส) จนต้องใส่เสื้อผ้าประมาณ 3-4 ชั้น แต่พอเข้าไปดูดนตรีในร่มที่มีคนหนาแน่น เราจะไม่ร้อนอึดอัดหรือ?
บริการรับฝากของเช่นนี้สามารถตอบโจทย์-แก้ปัญหาข้างต้นได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น โซนให้บริการอาหาร-เครื่องดื่มของเทศกาล ก็มีความกว้างขวางใหญ่โต ทั้งในแง่จำนวนร้านค้าที่มาเปิดบริการ และจำนวนโต๊ะที่นั่งที่มีมากมาย จนไม่เกิดปัญหาไม่มีอาหารกิน (ยกเว้นช่วงดึกใกล้เลิกงาน) และปัญหาไม่มีที่นั่งกินอาหารแบบสบายๆ ดังที่ชอบเกิดกับเทศกาลดนตรีในเมืองไทย
อีกคำถามที่สนใจเป็นการส่วนตัว คือ ใครคือผู้จัดงานดนตรีครั้งนี้?
ดูเหมือนเพจดนตรีต่างๆ ในไทยมักจะเน้นย้ำคำว่า “sonic” ตรงท้ายชื่อเทศกาล เพื่อบอกว่าออร์แกไนเซอร์ของงานนี้เป็นเจ้าเดียวกับผู้จัดงานเทศกาลดนตรีฤดูร้อน “Summer Sonic” อันโด่งดัง (และเพิ่งมาจัดงาน “Summer Sonic Bangkok” ไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์นั้น “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว”)
อย่างไรก็ตาม คำว่า “rockin’on” ที่อยู่ด้านหน้าก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะนี่คือชื่อของผู้จัดงานอีกองค์กรหนึ่ง ซึ่งเป็นนิตยสารดนตรีเก่าแก่ของญี่ปุ่น ที่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1972 (พ.ศ.2515) และมีอายุยืนยาวมาถึง 52 ปีแล้ว
ปัจจุบัน สื่อสิ่งพิมพ์เจ้านี้มีนิตยสารอยู่สองหัว คือ “rockin’on Japan” ที่นำเสนอเนื้อหาว่าด้วยวงการดนตรีญี่ปุ่น และ “rockin’on” ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับวงการดนตรีนานาชาติ
สื่อสิ่งพิมพ์รายนี้ยังมีประสบการณ์จัดและร่วมจัดเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ มาไม่น้อย โดยที่งาน “rockin’on sonic” ถือเป็นโปรดักต์ใหม่ล่าสุดของพวกเขา
ถ้าเทศกาลดนตรีฤดูหนาวงานนี้จะมีปัญหาข้อติดขัดอยู่บ้าง ปัญหาดังกล่าวเห็นจะได้แก่การจัดลำดับ-ตารางโชว์
ในเทศกาลคราวนี้จะแบ่งเวทีการแสดงออกเป็นเวทีใหญ่ (กาแล็กซี สเตจ) และเวทีเล็ก (คอสโม สเตจ)
แม้ว่าเวทีทั้งสองแห่งจะตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันเกินไป และแม้ผู้จัดงานจะพยายามสับหว่างเวลาเอาไว้ คือ ไม่ให้การแสดงทั้งสองเวทีเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่จัดตารางโชว์แบบสลับฟันปลากันไป โดยมีช่องว่างระหว่างโชว์/เวทีประมาณห้านาที
แต่พอใช้ชีวิตอยู่ในงานไปสักพักหนึ่ง เราก็จะพบว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนดูจะได้ชมโชว์ของสองเวทีที่เกิดขึ้นไล่เรียงกัน แบบต่อเนื่อง ราบรื่น ไม่มีสะดุด
หมายความว่า ถ้าเราดูโชว์จากเวทีหนึ่งจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ กระบวนการเคลื่อนตัวช้าๆ จากเวทีหนึ่งไปยังอีกเวที พร้อมกับเพื่อนๆ ผู้ชมเรือนพันเรือนหมื่นราย นั้นจะใช้เวลาเกินกว่าห้านาทีแน่นอน และกว่าเราจะไปถึงที่หมาย การแสดงของอีกเวทีหนึ่งก็จะเข้าสู่เพลงลำดับที่ 2-3 ของโชว์แล้ว
ผมเจอปัญหานี้ในวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม จนจำเป็นต้องดูโชว์ของ “The Manic Street Preachers” ไม่จบ เพื่อจะได้เดินมาทันการขึ้นโชว์เพลงแรกของ “The Lemon Twigs” ซึ่งผมคาดการณ์ว่าพวกเขาจะเปิดหัวด้วยเพลง “My Golden Years” ที่ตัวเองชอบมากๆ (แล้วก็เป็นดังที่คาดหมายไว้จริงๆ)
คงต้องปิดท้ายบทความนี้ ด้วยการกล่าวถึงโชว์ที่ตัวเองประทับใจในงาน “rockin’on sonic” แบบรวบรัด
แน่นอนว่า เฮดไลน์โชว์ของวันเสาร์ที่ 4 มกราคม โดย “Pulp” หนึ่งในตำนานหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีแนว “บริตป๊อป” นั้นยังเข้มขลังอยู่เสมอ
เท่าที่ดูโชว์ของ “Pulp” มาสามครั้งในรอบสองปี (ที่ลอนดอนหนึ่งครั้ง ผนวกด้วยที่เทศกาลดนตรีในฮ่องกง และการแสดงครั้งนี้ที่ญี่ปุ่น) จะพบว่าความแตกต่างระหว่างโชว์ที่อังกฤษกับประเทศในแถบเอเชีย ก็คือ วงดนตรีเครื่องสายสนับสนุนที่หายไป (แน่นอน คงเกิดจากปัญหาด้านการเดินทาง การขนส่ง และงบประมาณ)
อีกความแตกต่างที่สังเกตได้ คือ เพลงที่พวกเขาเลือกนำมาแสดง ซึ่งจะพบว่าเวลามาทัวร์เอเชีย หนึ่งในเพลงเอกที่ “Pulp” ตัดทอนออกไปจะได้แก่ “Mis-Shapes” ซึ่งว่าไปแล้วอาจเป็นเพลงที่มี “ความเป็นการเมือง” ยิ่งกว่า “Common People” เสียอีก (แต่ “ป๊อป” น้อยกว่า)
ขณะที่โชว์ของวงร็อกจากเวลส์อย่าง “The Manic Street Preachers” ก็ทำได้น่าประทับใจ (เสียดายที่ผมดูไม่จบโชว์ด้วยเหตุผลที่อธิบายไปแล้ว) และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลงชาวญี่ปุ่นและนานาชาติไม่ต่างจาก “Pulp”
อีกวงที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษ คือ “The Lemon Twigs” วงดนตรีของสองพี่น้องจากนิวยอร์กและเพื่อนๆ นักดนตรีสนับสนุนอีกสองคน ที่ผลิตงานเพลงแนว “เพาเวอร์ป๊อป” ย้อนยุค
ในงานนี้ ทั้งสี่หนุ่มเลือกนำเสนอเพลงแนวสนุกคึกคัก มากกว่าเพลงช้าๆ ซึ้งๆ อย่างไรก็ตาม เพลงที่เลือกนำมาแสดงก็ยังขับเน้นคุณลักษณะเด่นของพวกเขา นั่นคือการผลิตงานดนตรีที่มีท่วงทำนองไพเราะติดหู และการมีไลน์ร้องประสานเสียงอันคล้องจองสมดุล จนสร้างความประทับใจให้แก่แฟนเพลงชาวญี่ปุ่น
ดังจะพบว่ามีคนญี่ปุ่นวัยกลางคน (โดยเฉพาะแม่บ้านที่มาดูการแสดงแบบเดี่ยวๆ) ซึ่งชื่นชอบวงดนตรีวงนี้กันเยอะมาก (ยืนดูไปอมยิ้มไป) และ “A Dream Is All We Know” ผลงานชุดล่าสุดของพวกเขา ก็ติดอยู่ในอันดับที่ 44 ของลิสต์ “50 อัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี 2024” ซึ่งจัดโดยนิตยสาร “rockin’on”
วงสุดท้ายที่ผมเพิ่งรู้จักและประทับใจมาก คือ “Wednesday” วงอินดี้รุ่นใหม่จากนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งผสมผสานดนตรีคันทรีเข้ากับชูเกซและอัลเทอร์เนทีฟร็อกได้อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะมือแล็ป สตีล กีตาร์ และเพดัล สตีล กีตาร์ของวง อย่าง “แซนดี้ เคลมิส” ที่มีฝีไม้ลายมือจัดจ้านเอามากๆ •
คนมองหนัง | ยิ้มเยาะเล่นหวัว เต้นยั่วเหมือนฝัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022