ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เขย่าสนาม |
เผยแพร่ |
เมื่อเร็วๆ นี้ ตัวผมได้รับเกียรติให้ไปเป็นหนึ่งใน 6 พิธีกรที่ร่วมถามเปิดใจ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ชวนมาพูดคุยอัพเดตผลงานของ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย หลังจบ ศึกชิงแชมป์อาเซียน พร้อมยังพูดคุยถึงผลงานตลอด 1 ปีที่นั่งตำแหน่งนายกสมาคม และเป้าหมายแผนงานในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในปี 2025
ในการพูดคุย มีการพูดถึงแผนงานพัฒนาทีมชาติต่างๆ รวมถึงการเตรียมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลหญิง รุ่นยู-20 กับยู-17 ชิงแชมป์เอเชีย
แต่ส่วนตัวมีหนึ่งคำถามที่ตั้งใจจะไปสอบถาม นั่นคือเรื่องของเงินจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในโครงการ ฟีฟ่า ฟอร์เวิร์ด 3.0
เดิมทีในยุคสมัยของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เคยเดินเรื่องจะสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่ ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเคยมีการเซ็น MOU กับ กรมพลศึกษา เจ้าของสถานที่เอาไว้แล้ว
แต่หลังจากการมาของมาดามแป้ง โครงการนี้เงียบไปจนเกิดความสงสัยว่าเงินเกือบ 100 ล้านบาท จากฟีฟ่าจะได้นำมาใช้ประโยชน์หรือไม่
สุดท้าย มาดามแป้ง ก็เลยเล่าให้ฟังในรายการว่า เงินจำนวนนี้มีการพูดคุยกับฟีฟ่า และได้ให้คำแนะนำมาว่าเงินจำนวนดังกล่าวไม่จำเป็นจะต้องไปสร้างศูนย์ฝึกก็ได้ พร้อมแนะนำให้นำไปใช้กับสนามศุภชลาศัย เพื่อปลุกสนามกีฬาแห่งชาติให้กลับมาใช้งานในเกมระดับทางการได้อีกครั้ง
บอกเลยว่าหลังจากได้ยินแนวคิดนี้ อะดรีนาลีน ก็รู้สึกพุ่งพล่านขึ้นมาทันที เพราะสำหรับคนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลและผูกพันกับฟุตบอลไทย สนามศุภชลาศัย นับว่าเป็นสนามกีฬาแห่งตำนาน และเป็นสนามกีฬาแห่งความทรงจำของแฟนบอลชาวไทย
เชื่อว่าเกินร้อยละ 50 ของแฟนบอลไทย มีสนามศุภชลาศัยเป็นสนามแห่งแรกที่เข้าไปดูฟุตบอลอย่างแน่นอน…
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การจัดฟุตบอลที่สนามแห่งนี้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะว่าคุณสมบัติของสนามนั้นไม่ตรงกับเงื่อนไขการจัดการแข่งขันหลายอย่าง รวมถึงสภาพของห้องหับต่างๆ ที่ทรุดโทรมลงไปอย่างมาก
ฉะนั้น ถ้าหากได้เงินจากฟีฟ่านำมาเพื่อปรับปรุง และทำให้สนามแห่งนี้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
เพราะว่ากันแล้วนี่คือหนึ่งในสนามความสำคัญที่สุดในวงการฟุตบอลไทย ผ่านการจัดงานที่ยิ่งใหญ่มาแล้วไม่ว่าจะเป็น ซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือช่วงหนึ่งก็เป็นสนามเหย้าให้กับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย
จุดที่สำคัญเลยคือสนามแห่งนี้อยู่ในใจกลางเมือง มีสถานีรถไฟฟ้าที่ลงปุ๊บถึงหน้าสนามปั๊บ พร้อมกับล้อมรอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าอย่าง สยามพารากอน, สยามดิสคัฟเวอรี่ หรือ MBK
ขณะเดียวกันตอนนี้พื้นที่ด้านหลังสนามศุภชลาศัยอย่าง ถนนบรรทัดทอง ที่ปัจจุบันกลายเป็นย่านของกินชื่อดังแห่งเมืองหลวงไปแล้วด้วย
ทว่า การจะปรับปรุงสนามแห่งนี้ คงจะต้องมีการพูดคุยกันหลายฝ่ายหน่อย เพราะเงื่อนไขสำคัญของฟีฟ่าในการเอาเงินจากโครงการฟีฟ่าฟอร์เวิร์ดมาใช้นั้น จะต้องใช้กับสถานที่ที่มีการเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่เอาไว้ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
ซึ่งสนามศุภชลาศัยอยู่ในพื้นที่ของสนามกีฬาแห่งชาติ โดยมี สำนักงานทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเจ้าของพื้นที่ และให้กรมพลศึกษาเช่าพื้นที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน
ฉะนั้น จะต้องมีการพูดคุยกันระหว่าง 3 ฝ่าย คือสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ, กรมพลศึกษา และสำนักงานทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะต้องมีการทำสัญญาเช่าพื้นที่กันจึงจะนำเงินตรงนี้มาใช้งานได้ และอาจจะต้องคุยหนัก
เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ทางจุฬาฯ พยายามที่จะขอพื้นที่สนามกีฬาแห่งชาติคืนจากกรมพลศึกษา รวมถึงสนามศุภชลาศัยด้วย แต่ก็ยังยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
ข้อได้เปรียบของสมาคมฟุตบอลฯ ก็คือตัวนายกสมาคมอย่างมาดามแป้ง เป็นศิษย์เก่าที่มีความผูกพันกับจุฬาฯ เป็นอย่างมาก การใช้เลือดน้องพี่สีชมพู เป็นตัวสานสัมพันธ์อาจจะทำให้การพูดคุยราบรื่นยิ่งขึ้นและลุล่วงได้ด้วยดี
สิ่งหนึ่งที่แฟนบอลอาจจะต้องรู้เอาไว้ นั่นคือสนามศุภชลาศัย ปัจจุบันนี้มีสถานะเป็นอาคารอนุรักษ์ เพื่อรอที่จะครบ 100 ปี ในอีก 12 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ.2580 แล้วขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ
ฉะนั้น การปรับปรุงหรือรีโนเวตสนามแห่งนี้ก็อาจจะต้องพูดคุยกับ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อพูดคุยกันว่าจุดใดที่จะสามารถปรับปรุงได้บ้าง ไม่ให้กระทบกับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ
แต่เท่าที่ถามจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ การจะกลับมาใช้สนามศุภชลาศัยเพื่อจัดการแข่งขันระดับนานาชาตินั้น สิ่งที่ต้องแก้ไขเบื้องต้นเลยคือสภาพห้องภายในสนามที่สภาพทรุดโทรม, มีหลังคารั่ว และแก้ไขเรื่องไฟส่องสว่าง ที่ปัจจุบันไม่ถึง 1,200 ลักซ์ ตามระเบียบของการจัดการแข่งขัน
เบื้องต้นแค่ทำตรงนี้เสร็จ ก็จะสามารถคืนชีพสนามศุภชลาศัยให้กลับมาจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้อีกครั้ง…
ลองคิดสภาพว่าถ้าทีมชาติไทยได้สนามเหย้าเพิ่มขึ้นมาอีกแห่ง ยามที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ติดภารกิจอื่น แล้วได้สนามใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แถมความจุระดับ 30,000 ที่นั่ง สามารถเต็มความจุได้ไม่ยากอยู่แล้ว
อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ๆ ด้วยการมีสนามอยู่ในเมืองหลวงถึง 2 สนาม
ไหนจะฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระดับสโมสร อย่าง ลีกคัพ หรือ เอฟเอคัพ ที่สามารถดึงแฟนบอลของทีมที่เข้าชิงเข้ามาชมกันแบบเต็มสนามได้อีก
มองยังไงการคืนชีพสนามแห่งนี้ ก็มีแต่จะสร้างบรรยากาศอันยอดเยี่ยมของฟุตบอลไทยให้กลับมาได้อย่างแน่นอน
ขอให้มันเป็นจริงด้วยเถิด… •
เขย่าสนาม | Stivie Toon
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022