ลงมือนำแล้ว ‘ทำไป’ ‘มุ่งมั่น’ ให้พ้นมุมมืด

เหยี่ยวถลาลม

 

ลงมือนำแล้ว ‘ทำไป’

‘มุ่งมั่น’ ให้พ้นมุมมืด

 

บ่อยครั้งที่ได้ยินคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะฉลาดกับความสำเร็จของคนผู้หนึ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร

นอกจากหนังสือฮาวทู จะเคยมีคำตอบไว้ให้ร้อยแปดแล้ว ชีวิตจริงๆ ของคนฉลาดที่ประสบความสำเร็จหรือนักประดิษฐ์คิดค้นชื่อก้องโลกด้านต่างๆ ในอดีตก็พอจะบอกได้ว่า พื้นเพของสังคม ครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ความคิดความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม รวมไปถึง “ชะตากรรม” ณ เวลานั้นล้วนเป็นสรรพปัจจัยที่สัมพันธ์และส่งเสริมกัน

อาจจะเป็นเพราะพื้นเพสังคมในซีกโลกตะวันออกดื่มด่ำกับ “การอยู่ร่วม” กับธรรมชาติมากกว่า “เอาชนะ” หรือหักโค่น วิถีของชาวตะวันออกจึงเน้นความแนบเนียนเป็นหนึ่งเดียว ต่อเมื่อจักรวรรดินิยมรุกรานไปทั่วทั้งโลกกระทั่งวิทยาศาสตร์พัฒนามาถึงปัจจุบัน โลกจึงหดแคบ เทคโนโลยีสื่อสารได้สร้าง “กฎใหม่” ทุกเช้าตรู่ พระอาทิตย์จะออกมาแย้มสรวลเตือนว่า เมื่อหยุดนิ่ง คุณจะล้าหลัง

แต่เชื่อหรือไม่ว่า กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่ประเทศไทยเคยมีการพูดถึงเมกะโปรเจ็กต์ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”

จนถึงวันนี้ทั้งคนที่เคยคิด “จะสร้าง” กับคนที่ “ขัดขวาง” ต่างก็กลับคืนสู่ธรรมชาติเกือบถ้วนหน้าแล้ว

เหตุผลของคนที่ “ขวาง” ในสมัยโน้นกับในสมัยนี้ก็อันเดียวกันคือ ธุรกิจมอมเมา ห่วงเด็กและคนไทยจะติดการพนัน ผิดศีลธรรม เกรงจะเพาะเชื้อเจ้าพ่อมาเฟียผู้มีอิทธิพล

ประเทศที่ “ปาก” มากด้วยศีลธรรมจึงต้อง “ซุก” สิ่งเหล่านั้นไว้ในที่มืด

หากประสงค์จะได้ชื่อว่าเป็นคนดีต้องจำนน หยุดคิด ห้ามปริปาก และไม่ต้องสงสัย?

คำว่า “ต่อสู้” ตามความคิดฝันอย่าได้หมายว่าจะปรากฏ

 

ในวันนี้ รัฐบาลประกาศจะให้มี “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือโครงการธุรกิจบันเทิงครบวงจรขึ้น แม้ว่าจะล่าช้าไปกว่าครึ่งศตวรรษสำหรับประเทศไทย แต่ก็ควร “ยกนิ้วให้”

นับเป็นโอกาสที่ไทยจะได้ใช้ “จุดแข็ง” รับมือกับโลกภายนอกด้วยการ “เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” หารายได้เข้าประเทศ

ทั้งจากภาคการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุน ผู้คนมีงานทำ รัฐมีรายได้จากภาษีที่ทำให้ทุกอย่างซึ่งซุกอยู่ในซอกหลืบขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอย่างเปิดเผย มีกติกาที่โปร่งใส และให้สังคมตรวจสอบได้

คาดว่าจะทำรายได้ปีหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5 แสนถึง 1 ล้านล้านบาท

 

ส่วนอีกเรื่องที่ขาด “ตัวละครที่กล้าหาญ” จนทำให้ถูกแปล “ความมุ่งหมาย” ผิดเพี้ยนเกินเลยไปนั่นก็คือ การจัดอบรม “อาสาสมัครนักศึกษาจีน” ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งต้อง “ล้มเลิก” และถูกโดดเดี่ยว

จะว่าไปแล้ว คนจีนที่มาไทยมากหน้าหลายตาต่างแคว้นหลายมณฑล นักท่องเที่ยวและนักศึกษาจีนต่างก็มีความอ่อนไหวกับเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผู้บริหารระดับสูงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจึงเกิดไอเดียบรรเจิดจัดอบรมให้เป็น “อาสาสมัคร” ให้กับตำรวจ จบแล้วมีใบประกาศนียบัตร

ที่จริงอาสาสมัครแบบนี้ ตำรวจทำกันมานานแล้ว แนวคิดนี้ดี ที่เอาประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายมาร่วมรับรู้ปัญหาและร่วมป้องกันตนเอง หมู่คณะ หรือชุมชน

จะว่าคณะผู้จัด ทำผิดที่เก็บเงินนะหรือ

หากไม่เก็บเงินแล้วใครจะจ่าย ค่าวิทยากร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร สื่อการเรียนการสอนตลอดจนสิ่งสิ้นเปลืองทั้งหลาย

การเก็บเงินค่าใช้จ่าย บวกค่าแรง ค่าความรู้ประสบการณ์ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก

พฤติการณ์ที่ผิดแปลกคือ การเอาตัวรอด และชี้นิ้วไปที่ “ผู้อื่น”!

ยามมีภัย ไม่มีใครตั้งสติพิจารณาให้ถ้วนถี่ พิเคราะห์แยกแยะ ทำความเข้าใจในเจตนาที่จะสร้างอาสาสมัครเป็นหูเป็นตาให้ตำรวจ ให้อาสาสมัครรู้จักระแวดระวังภัย

ถ้าการจัดอบรมนั้นยังไม่เรียบร้อยก็ควรจะช่วยแนะนำ ให้ปรับปรุงดัดแปลงแก้ไข ทำให้สมบูรณ์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม

ปัญหา “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน” เป็นความอ่อนไหวของนักท่องเที่ยวทุกชาติไม่เฉพาะแต่คนจีน

ไม่เช่นนั้นแล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงไม่เปิด “ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว” หรือ “ศปทท.ตร.” ที่มี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ พร้อมกับเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Thailand Tourist Police” ที่ให้นักท่องเที่ยวดาวน์โหลด ส่งข้อความ ภาพ โลเกชั่น ให้สอบถามข้อมูล แจ้งเหตุ ขอความช่วยเหลือ มีเจ้าหน้าที่แปล 8 ภาษาตลอด 24 ชั่วโมง

ซึ่งจุดมุ่งหมายก็เพื่อ “สร้าง” ให้ผู้คนทั้งโลกซึ่งมาเที่ยวไทยเชื่อว่า ประเทศนี้ปลอดภัย สะดวกสบายในการใช้ชีวิต อาหารอร่อยมีคุณภาพ ธรรมชาติงดงามล้ำค่า ค่าใช้จ่ายไม่สูง พื้นเพนิสัยใจคอคนไทยอ่อนโยน เกื้อกูล มีน้ำใจ มีประเพณีดีงาม

เหมาะจะเป็นที่ 1 ในโลกของการท่องเที่ยว

 

การอบรมอาสาสมัครตำรวจให้กับนักศึกษาจีนผิดตรงไหน

การสนับสนุนให้เกิดธุรกิจบันเทิงครบวงจรหรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ผิดตรงไหน

ถ้าหากมีสิ่งที่ยัง “ผิด” ก็ดัดแปลง ปรับปรุง แก้ไขให้ “ถูก” แล้วส่งเสริมให้เดินไปข้างหน้าด้วยความชาญฉลาด

“กรอบความคิด” ที่พบในสังคมไทย มักจะไม่ใช่ “พรมแดน” หรือขอบเขต

แต่เป็นสภาวะที่สมอง “ถูกกักขัง”

ระบบความคิดที่ว่าเมืองไทยใหญ่อุดม ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีผืนดินอุดมให้ปลูกพืชผักเป็นอาหาร ไม่มีคำว่าอดตายนั้น ชวนให้ลุ่มหลงว่าเรามีทุกอย่างให้ใช้ชีวิต จนลืมไปว่าสิ่งที่ขาดหายไปคือ “ความรักและฝักใฝ่ในความเปลี่ยนแปลง”

“กรอบความคิด” ขังคนเอาไว้จนกระทั่งเคยชินกับ “การจำนน” วกวนอยู่ใน “มุมมืด”

เว้นที่จะคิดให้มากๆ ละเสียซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมา ไม่แตะต้อง และไม่ลงมือทำในสิ่งที่ผิดแผกแตกต่างออกไป เพราะถูกสอนว่า กรรมใครกรรมมัน ใครทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับผลนั้น ทั้งที่ควรจะ “แหก” ออกจาก “ที่คุมขัง” นั้น

ถ้าหากริเริ่มคิด ทดลองทำ และลงมือสร้างสิ่งใหม่ แม้จะประหลาด พิสดาร น่าพิศวง ดังเช่นที่เคยมีคนจินตนาการ “อยากจะบินได้เหมือนนก”

ใช่หรือไม่ว่า นับจากวันที่มนุษย์ฝันจะ “บินได้” พร้อม “สร้าง” มันขึ้นมากับมือ โลกก็เปลี่ยนไปตลอดกาล!?!!