มนุษย์ : ความเห็นอกเห็นใจ ที่ซ่อนอยู่ใต้กระแสความเกลียดชัง

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

มนุษย์ : ความเห็นอกเห็นใจ ที่ซ่อนอยู่ใต้กระแสความเกลียดชัง

ทุกครั้งที่มีการปรับขยายระบบสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กน้อย มักมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เท่าเทียมในการกระจายผลประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองน้อยมักตกเป็นเป้าของคำถามว่า “ทำไมคนกลุ่มนี้ถึงได้รับสิทธิพิเศษ” หรือถูกมองว่านโยบายเหล่านี้เป็นเพียงการให้ประโยชน์แก่คนที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้แก่สังคม

ในโลกตะวันตก คำว่า “Welfare Queen” หรือ “ราชินีสวัสดิการ” ถูกใช้เป็นคำเสียดสีถึงกลุ่มคนที่ถูกมองว่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยระบบสวัสดิการโดยไม่ต้องทำงาน

ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารออนไลน์ ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

จนทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วมนุษย์โหดร้ายและเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้หรือ

 

แม้หลายคนอาจมองว่าแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีจิตใจดีและพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเพียงอุดมคติที่ไกลความเป็นจริง

แต่หากมองย้อนประวัติศาสตร์และพิจารณาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เราจะพบว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่พร้อมจะแบ่งปันและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากกว่าที่เราคิด

ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม ชาวเดนมาร์กนับพันคนได้ร่วมมือกันช่วยเหลือชาวยิวกว่า 7,000 คนให้หลบหนีไปยังสวีเดนอย่างปลอดภัย

ในขณะที่ชาวบ้านในหมู่บ้าน Le Chambon-sur-Lignon ประเทศฝรั่งเศส ก็ได้เสี่ยงชีวิตช่วยซ่อนชาวยิวกว่า 5,000 คน ทั้งที่พวกเขาเองก็เสี่ยงต่อการถูกประหารชีวิต

ในปัจจุบัน เราก็ยังเห็นความมีน้ำใจของมนุษย์ผ่านการบริจาคอวัยวะให้กับผู้ป่วยที่ไม่รู้จัก โดยผู้บริจาคไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ นอกจากความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แม้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความเจ็บปวดจากการผ่าตัด

เช่นเดียวกับเมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติครั้งใหญ่ ผู้คนจากทั่วโลกต่างร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ รวมถึงอาสาสมัครที่เดินทางไปช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยโดยไม่คำนึงถึงความยากลำบากและอันตราย

ในยุคดิจิทัล การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์มีรูปแบบที่น่าสนใจและแตกต่างไปจากอดีต

แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าโลกออนไลน์ทำให้ผู้คนห่างเหินและขาดความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น แต่เราก็ได้เห็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเอื้ออาทรในรูปแบบใหม่ๆ

เช่น การระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ทำให้ผู้คนสามารถช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล การสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราได้เห็นการรวมตัวกันของชุมชนออนไลน์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาหารฟรี การจัดหาหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้บุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครเพื่อช่วยซื้อของให้ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังกลายเป็นพื้นที่สำหรับการแบ่งปันความรู้และทักษะโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่สละเวลามาสอนออนไลน์ฟรี ตั้งแต่การสอนการบ้านเด็ก ไปจนถึงการแนะนำเทคนิคการทำอาหาร การดูแลสุขภาพจิต หรือทักษะทางอาชีพต่างๆ

 

ความใจดีของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในสายเลือด แต่ถูกสร้างอย่างซับซ้อน

เมื่อเราพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์กับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มักมีการอ้างถึงสัญชาตญาณแห่งความดีที่มีมาแต่กำเนิด

แต่งานวิจัยของ Karen Wynn และคณะ เรื่อง “Not Noble Savages after all : Limits to early altruism” ได้เผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่านั้น

แม้ทารกจะสามารถรับรู้และแสดงความชื่นชอบต่อการกระทำที่ยุติธรรมและมีเมตตาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้อื่น

แต่เมื่อต้องแสดงพฤติกรรมช่วยเหลือด้วยตนเอง พวกเขากลับมีแนวโน้มที่จะเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน

ข้อค้นพบนี้ท้าทายความเชื่อที่ว่ามนุษย์มี “ความดีงาม” ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ชี้ให้เห็นว่าคุณธรรมและจริยธรรมที่เราเห็นในผู้ใหญ่นั้น เป็นผลมาจากกระบวนการพัฒนาที่ซับซ้อนและยาวนาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม และการพัฒนาความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่อตัดสินใจทางศีลธรรม

การที่มนุษย์จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีจริยธรรมนั้น จึงไม่ใช่เรื่องของสัญชาตญาณหรือพรสวรรค์

แต่เป็นผลของการหล่อหลอมทางสังคมและการพัฒนาความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงศีลธรรมอย่างต่อเนื่อง

แสดงให้เห็นว่าการสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้น จำเป็นต้องอาศัยทั้งการพัฒนาระบบการศึกษา การสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการช่วยเหลือเกื้อกูล และการสนับสนุนให้ผู้คนได้พัฒนาความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม

ดังนั้น การเสนอข่าวสารและการสร้างการรับรู้ในสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าเหตุใดมนุษย์ที่พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงาม จึงมีความเกลียดชังมากมายในสังคม?

สาเหตุสำคัญมาจากการที่ข่าวร้ายและความขัดแย้งมักได้รับความสนใจและแพร่กระจายมากกว่าข่าวดี

คนส่วนน้อยที่แสดงความเกลียดชังมักส่งเสียงดังกว่าคนส่วนใหญ่ที่มีน้ำใจ

อีกทั้งระบบสื่อสังคมออนไลน์ก็มักส่งเสริมเนื้อหาที่สร้างอารมณ์รุนแรง

นอกจากนี้ ความกลัวและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจยังทำให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเองมากขึ้น

ตลอดประวัติศาสตร์การผลักดันนโยบายสวัสดิการสังคม เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง : เสียงคัดค้านมักจะดังกว่าเสียงสนับสนุนเสมอ

ยิ่งนโยบายใดมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ เสียงต่อต้านก็ยิ่งแสดงความโกรธเกรี้ยวรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นคุกคามความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขา

แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้เสียงของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายสวัสดิการจะเบากว่า แต่นั่นมิได้หมายความว่าความยินดีและความหวังของพวกเขาไม่มีอยู่จริง

เสียงเหล่านี้อาจถูกกลบด้วยเสียงความไม่พอใจที่ดังกว่า แต่ผลกระทบของมันกลับลึกซึ้งและยาวนานกว่า

เพราะทุกครั้งที่ระบบสวัสดิการได้รับการพัฒนา มันไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังเป็นการยืนยันว่าสังคมที่เอื้ออาทรเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

ระบบสวัสดิการที่ดีจึงไม่ใช่เพียงกลไกในการช่วยเหลือผู้คน แต่เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้ความดีงามในตัวมนุษย์ได้แสดงออกและเติบโต

เป็นวงจรที่ดีที่เมื่อผู้คนได้รับการดูแล พวกเขาก็พร้อมจะดูแลผู้อื่นต่อไป สร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างยั่งยืน แม้ว่าเส้นทางนี้จะไม่ราบรื่นและต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านอยู่เสมอ

แต่ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้าล้วนมีความหมาย

เพราะมันคือการสร้างรากฐานของสังคมที่ดีกว่าสำหรับทุกคน