‘ตัวตน’

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

บทเรียนบทแรกที่สัตว์ป่าสอนให้ผมได้รับรู้ คือเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา

ผู้สอน หรือเรียกให้ถูกว่า “ครู” คือ นกยูงตัวผู้ และนกจาบคาเคราสีน้ำเงิน

บ่ายวันนั้นในวันต้นฤดูหนาว หลังจากเฝ้ารออยู่ในซุ้มบังไพรริมลำห้วยมาตั้งแต่เช้ามืด นกยูงตัวผู้หางยาวสลวยตัวหนึ่ง เดินออกมาจากด่านเล็กๆ มุ่งหน้ามาที่หาดริมลำห้วย ท่าทีสบายๆ ของมันเปลี่ยนไป หยุดชะงัก ย่อขาลงหมอบนิ่ง ก่อนลุกขึ้นหันหลังกลับ วิ่งเหยาะๆ กลับเข้าไปในด่าน

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเสียงร้องของนกจาบคาเคราสีน้ำเงิน ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ เหนือซุ้มบังไพรที่ผมซ่อนตัวอยู่

เป็นซุ้มบังไพรที่กั้นอย่างมิดชิดทั้งสี่ด้าน แต่ด้านบนเปิดโล่ง นกยูง รวมทั้งสัตว์อื่นจะมองไม่เห็นผม แต่ไม่ใช่นกจาบคาเคราสีน้ำเงิน ซึ่งเกาะอยู่ข้างบน

วันนั้น ผมได้ความรู้บทใหม่ สัตว์ป่าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกมันอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา และไม่เพียงเฉพาะในหมู่สายพันธุ์เดียวกัน

การทำงานครั้งนั้น ผมไม่ได้รูปนกยูงที่ดีๆ สิ่งที่ได้คล้ายจะมีค่ามากกว่า

 

การได้ติดตามและร่วมกับทีมสำรวจประชากรเสือโคร่งของสถานีวิจัยสัตว์ป่า ทำให้ผมมีโอกาสได้เดินทางไปหลายผืนป่า โดยเฉพาะป่าด้านตะวันตก

ภาพเสือที่บันทึกได้จะถูกนำมาตรวจสอบลายขน เสือแต่ละตัวมีลายขนแตกต่าง เช่นเดียวกับลายนิ้วมือคน วิธีการนี้ทำให้การจำแนกเสือแต่ละตัว ตรวจสอบจำนวนได้อย่างแม่นยำ

งานสำรวจประชากรเสือโคร่ง ใช้เวลา รวมทั้งพลังกายพอสมควร ทีมต้องสำรวจพื้นที่เพื่อหาร่องรอยตามด่านประกอบกับดูพื้นที่ในแผนที่ ในพื้นที่ราว 50 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นอาณาเขตเสือโคร่งตัวเมียตัวหนึ่ง พวกเขาจะวางกล้องดักถ่ายภาพหนึ่งตัว และบริเวณรอบๆ

การกำหนดจุดตั้งกล้องในพื้นที่ป่า ในระยะห่างกันราว 3 กิโลเมตร ไม่ใช่งานง่ายนัก

นอกจากต้องอ่านแผนที่แม่นยำ ใช้เครื่องมือบอกพิกัดสัญญาณผ่านดาวเทียม หรือจีพีเอส ได้คล่องแคล่ว เจ้าหน้ายังต้องมีทักษะในการดูร่องรอยของเสือโคร่ง เช่น รอยตีน รอยคุ้ย รวมทั้งรอยฉี่ หรือสเปรย์ ที่เสือพ่นไว้ตามต้นไม้

เดินไปตามด่าน ต้องใช้ตาดู และจมูกดมกลิ่น

หลายๆ ครั้งเมื่อดูในแผนที่ เป็นตำแหน่งเหมาะสม และเป็นจุดที่ต้องนำกล้องไปตั้ง แต่เมื่อเดินเข้าไปถึง กลับพบว่าไม่มีด่าน ไม่มีร่องรอย จำเป็นต้องเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ ใหม่

บางครั้ง จุดเหมาะสมก็ไกลกว่าจุดที่กำหนดมาเป็นกิโลเมตร

ทีมสำรวจประชากรเสือโคร่ง ทำงานนี้มานานหลายปี พวกเขาสะสมประสบการณ์ และความชำนาญ ทำให้งานสำรวจได้ข้อมูลที่ดี แม่นยำ

 

หลังช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ป่าอยู่ในฤดูแล้ง

และดูเหมือนว่า นี่จะเป็นช่วงที่เราอยู่กับสภาพอากาศหนาวเย็นที่สุด

แต่หากไม่นับว่า นี่คือฤดูกาลของเห็บด้วย ก็คล้ายจะเป็นเวลาที่ทำงานง่ายขึ้น

โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง เราคาดการณ์เวลาเดินทางถึงจุดหมายได้

เพราะเส้นทางค่อนข้างสะดวก ซึ่งจะเป็นคนละเรื่องหากเป็นในช่วงฤดูฝน

ในระยะทางเท่ากัน ฤดูแล้งใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง ส่วนในช่วงฤดูฝนอาจเป็นวันหรือหลายวัน

 

ในการทำงานแต่ละครั้ง เราอยู่ในป่าร่วมเดือน ทุก 10 วันจะมีรถออกมาซื้อเสบียง

กล้องดักถ่ายแต่ละตัว จะถูกตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม ตัวละ 15 วัน และทุกตัวจะได้รับการตรวจเช็ก 1 ครั้งในรอบ 3 วัน

ตั้งแต่เช้า ทุกคนจะแยกย้ายกันไป แคมป์จะเงียบสงบไปตลอดวัน บรรยากาศจะคึกคักขึ้นในตอนเย็น

วันที่รถเสบียงกลับมานั้น เมนูอาหารจะหรูๆ ส่วนวันหลังๆ วุ้นเส้นผัดปลากระป๋อง ปลากระป๋องผัดวุ้นเส้น รวมทั้งบะหมี่สำเร็จรูปผัด เป็นเมนูหลักๆ

คนหลายคนอยู่ในแคมป์ร่วมกันนานๆ เรื่องพูดคุยหมดไปแล้ว

หากมีมุขตลก ก็เป็นมุขซ้ำๆ เราก็หัวเราะกับมุขซ้ำๆ นี่แหละ

บางคนจึงนั่งดูมด บางคนอ่านหนังสือ อ่านซ้ำไปซ้ำมา หลายคนขึ้นเปลนอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม

อากาศหนาวยะเยือก แสงจันทร์กระจ่างนวล กองไฟเป็นสถานที่ให้ความอบอุ่น

ความบันเทิงหลักคือ มองเปลวไฟร่ายรำ

นกยูงไทย – ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ นกยูงตัวผู้จะมีหางยาว เพื่อเป็นเครื่องมือรำแพนอวดความแข็งแรงสวยงามให้ตัวเมียเลือก

มีภาพสัตว์ป่าอื่นๆ มาก ไม่ว่าจะเป็น เสือดาว, กระทิง, วัวแดง หมีควาย และสมเสร็จ

แต่ปัญหาใหญ่ที่พบเสมอ ที่เกิดขึ้นกับกล้อง คือ ช้าง ดูเหมือนพวกช้างจะไม่ลังเล จะทำลายกล้องทุกครั้งที่มันพบ กล่องเหล็กช่วยป้องกันบ้าง แต่ก็ต้องปรับมุมติดตั้งใหม่

ภาพจากกล้อง บางครั้งมีหลักฐานชัดเจนของผู้กำลังกระทำความผิด

แต่ผู้ต้องหาก็คล้ายจะ “ใหญ่” เกินจะเอาผิด

 

ทุกวัน เราจะต้องเดินป่าไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร การใช้ด่านหรือเส้นทางเดียวกับที่สัตว์ป่าใช้จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะพบกัน

ช่วงฤดูหนาว เราจะพบเจอนกยูงเป็นฝูงใหญ่ จากจำนวนหลายๆ ตัวนั้น ส่วนใหญ่เป็นนกยูงตัวเมีย จะมีตัวผู้อยู่แค่ 2-3 ตัว ระหว่างตัวผู้และตัวเมียในช่วงเวลานี้ มีความต่างเพราะตัวผู้จะมีหางยาวสลวย

แต่หากเป็นช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ นกยูงตัวผู้สลัดหางยาวๆ ทิ้งแล้ว จึงไม่ง่ายที่ผมจะแยกว่าตัวไหนเป็นตัวผู้ ตัวไหนเป็นตัวเมีย เมื่อพบพวกมันรวมกันอยู่

ตั้งแต่พบนกยูงที่สอนให้รู้ว่า พวกมันอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพา กับนกจาบคาเคราสีน้ำเงิน

การทำงานในป่า ก็ทำให้ผมพบกับนกยูงเสมอๆ ได้ใช้เวลาเฝ้าดูในทุกฤดูกาล

นกยูงตัวผู้นั้น จะใช้ขนหางอันยาวสลวยสำหรับรำแพนอวดความแข็งแรงให้ตัวเมียเลือก

หางสวยๆ เป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่ง เมื่อฤดูแห่งความรักผ่านพ้น ภารกิจลุล่วง หางก็ถูกสลัดทิ้ง

ดูเหมือนว่า นกยูงตัวผู้จะไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับหางสวยๆ ที่มีไว้เพื่อแสดงตัวตนแต่อย่างใด

มันรู้ดีว่า ในยามปกติ หางยาวๆ นั่นเป็นอุปสรรคกับการดำเนินชีวิตด้วยซ้ำ

ในครั้งแรกที่ผมพบนกยูงตัวผู้ และบันทึกภาพได้

ผมเห็นเพียงความงดงาม

สิ่งที่เห็นนั้น ไม่ใช่ทั้งหมดในสิ่งที่มันเป็น

 

อีกหนึ่งบทเรียนที่นกยูงสอน

ไม่จำเป็นต้องแสดง “ตัวตน” หากเราเป็นสิ่งนั้นแล้ว •

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ