MatiTalk ‘กันตธีร์’ อดีต รมว.ต่างประเทศ มอง 2025 โลกมีแต่ความไม่แน่นอน แนะไทยกู้ศักด์ศรีเวทีโลกอย่าเป็นไม้ประดับ

MatiTalk ‘กันตธีร์’ อดีต รมว.ต่างประเทศ มอง 2025 โลกมีแต่ความไม่แน่นอน

แนะไทยกู้ศักด์ศรีเวทีโลกอย่าเป็นไม้ประดับ

“สิ่งหนึ่งที่แน่นอนในยุคของทรัมป์คือ ‘ความไม่แน่นอน’ เนื่องจากทรัมป์มักใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่า ทรัมป์ไม่ใช่คนที่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องสารัตถะต่างๆ และมักไม่ชอบอ่านอะไรที่ยาวเกิน 2-3 บรรทัด ทำให้การตัดสินใจของเขาขึ้นอยู่กับอารมณ์เป็นหลัก เพราะฉะนั้น การใช้อารมณ์เป็นหลักตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้เราจะต้องหันมาพิจารณาความสัมพันธ์ในการดำเนินการความสัมพันธ์กับสหรัฐรูปแบบหนึ่ง” ศาสตราจารย์กันตธีร์ ศุภมงคล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในรายการ MatiTalk มติชนสุดสัปดาห์ เกี่ยวกับภาพรวมของสถานการณ์โลกในปี 2025

โดยระบุว่ามีความน่าห่วงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของความไม่แน่นอน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือของสหรัฐ ทำให้โลกเกิดความปั่นป่วนได้ง่ายขึ้น ความที่สหรัฐเคยเป็นเสาหลักในสายตาของชาวโลกอาจค่อยๆ หายไป

อีกประเด็นที่คนไทยควรให้ความสำคัญคือการเข้าเมืองสหรัฐ ซึ่งมีคนไทยจำนวนไม่น้อยพอสมควรที่อยู่ในสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่น่าห่วง

นอกจากนี้ การขอวีซ่าเข้าสหรัฐอาจจะยากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง

President-elect Donald Trump takes the oath of office as he is sworn in as president during the 60th Presidential Inauguration in the Rotunda of the U.S. Capitol in Washington, Monday, Jan. 20, 2025. (Chip Somodevilla/Pool Photo via AP)

ศาสตราจารย์กันตธีร์มองสถานการณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศว่าเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง เรื่องนีต้องอาศัยการวิเคราะห์ และในบางกรณี การวิเคราะห์นั้นต้องรอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงเพื่อประเมินได้อย่างชัดเจน

อย่างกรณีทรัมป์ใช้วิธีการขู่การขึ้นภาษีกับประเทศต่างๆ เราต้องจับตาดูว่าในที่สุดแล้วกำแพงภาษีที่ขู่ว่าจะมี จะมีจริงแค่ไหน

แล้วอย่าลืม ถ้าเผื่อมีกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นผู้ที่จะจ่ายจริงๆ ส่วนใหญ่ก็คือผู้บริโภคในสหรัฐ เพราะว่าถ้าภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาสู่ผู้บริโภคสหรัฐ ในที่สุดก็จะมีความไม่พอใจในส่วนของผู้บริโภคพอสมควร

และอีกส่วนหนึ่งคือ ถ้ามีการขึ้นกำแพงภาษีจริงจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้โดยประเทศอื่นๆ ไม่ได้เช่นกัน ต้องมีการตอบโต้กันกลายเป็นปัญหาอย่างทั่วถึง จะกลายเป็นเรื่องยกระดับของความรุนแรง (escalation) ที่อาจจะเกิดขึ้น

อดีต รมว.ต่างประเทศกล่าวว่า ในยุคของ “ทรัมป์ 2” ประเทศไทยควรจะต้องพิจารณาเพื่อเตรียมความพร้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

สิ่งแรก คือ ไทยควรจะมีนโยบายบทบาทนำในอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญ

ผมอยากจะเห็นบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในเวทีทั้งอาเซียนและในเวทีโลกด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ กรณีของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเทอมแรก ทรัมป์มองตัวเองว่าเป็นผู้ที่นำสันติภาพสู่โลก ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่เราน่าจับตามอง เพราะว่าสิ่งที่เราได้พูดกันมาในตอนต้นว่า “ยุคทรัมป์” จะนำไปสู่ความไม่แน่นอน จะนำไปสู่การที่สหรัฐจะมีความยากลำบากที่จะเป็นบทบาทผู้นำอย่างที่เคยเป็น

แต่ในเวลาเดียวกันก็มีข่าวที่อาจจะเป็นข่าวดีออกมา คือ เรื่องการที่ทรัมป์ได้ประกาศว่ามีความต้องการที่จะเป็นผู้สร้างสันติภาพสู่โลกมีแนวโน้มสูงมากที่สงครามยูเครนจะยุติลง หรือสงครามในตะวันออกกลางก็จะยุติลงเช่นกัน

เป็นข่าวดีที่ทรัมป์เข้ามา เพราะจะเห็นได้ว่าในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่มีนโยบายหรือไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้สงครามยูเครนยุติลง ตรงนี้อาจจะเป็นจุดที่อ่อนแอของสหรัฐในประเด็นแรกที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนในยุคของประธานาธิบดีไบเดน

ผมอยากเล่าย้อนกลับไปถึงวิธีการเจรจาของไบเดนจากมุมมองของผมเอง ซึ่งเป็นวิธีการเจราจาที่ออกมาในลักษณะไม่ได้มุ่งเน้นในการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐเท่าที่ควร

จุดสำคัญที่ผมอยากกล่าวถึงคือ การที่ไบเดนได้ประกาศในระหว่างการเจรจากับรัสเซียก่อนที่รัสเซียจะใช้กำลังบุกยูเครน จะเห็นว่า ไบเดนได้ประกาศต่อสาธารณะล่วงหน้า ว่าถ้ารัสเซียบุกยูเครน สหรัฐและนาโตจะไม่ใช้กำลังทหารไปช่วยปกป้องยูเครน และจะใช้แต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

ซึ่งตรงนี้ถ้าหากลองนึกภาพในมุมมองของประธานาธิบดีปูตินก็คงมีความเข้าใจว่า ถ้ามีการประกาศเช่นนั้นว่าจะไม่ใช้กำลังทหารมาตอบโต้ เมื่อคำนวณความเสี่ยงก็คงไม่เสี่ยงมากนัก ถ้าอย่างนั้นจึงเลือกใช้กำลังทหารบุกยูเครน

ในสายตาของผมในการเจรจาการทูต ไม่ควรจะไปประกาศเปิดไพ่ล่วงหน้า อย่างน้อยควรจะออกมาในลักษณะอย่างกว้างๆ เช่น ถ้าคุณบุกยูเครนเรามีทางเลือกทุกอย่างอยู่บนโต๊ะ เราจะมีปฏิกิริยา (ambiguity) ที่เราไม่แสดงออกชัดเจน บางทีการเจรจาความไม่ชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เกิดความกังวล

ไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้กำลังทหารไปสู้ แต่ว่าเราบอกว่าเรา “อาจจะ” แต่ไม่ใช่เราไปบอกว่าเราไม่ใช้ แค่นั้นก็ทำให้เขาต้องคำนวณความเสี่ยงแล้ว

ประเด็นถัดมาก็มีการพูดมาจากทางยูเครนและทางฝ่ายนาโตว่า ยูเครนจะสมัครเป็นสมาชิกนาโตในอีกไม่นาน ซึ่งนาโตเองไม่ได้บอกว่าได้เมื่อไหร่ แต่ยูเครนพูดว่าจะพยายามเต็มที่ ก็ทำให้ปูตินอาจจะคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วสหรัฐประกาศเช่นนั้นด้วยว่าจะไม่ใช้กำลังทหารปกป้องยูเครน เพราะยูเครนไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต

ฉะนั้น ก็เป็นช่องเรียกว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะเป็นโอกาสที่จะยึดและบุกแล้วก็ปราบปรามเข้าไปในยูเครนได้เลย

และการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตก ปูตินไม่ค่อยกลัว เพราะไม่ได้มาจากสหประชาชาติ เป็นแค่กลุ่มประเทศหนึ่ง ยังคงมีช่องว่างเยอะ

แม้เศรษฐกิจตอนต้นจะตก แต่ก็กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจก็ไม่เสียหายอย่างที่ฝั่งตะวันตกคิด แต่กลายเป็นฝั่งตะวันตกเองได้รับความเสียหายจากการคว่ำบาตร โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันที่นำไปสู่เงินเฟ้อ

และอีกประเด็นสำคัญที่เชื่อมโยงกันคือการใช้มาตรการคว่ำบาตรในลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้รัสเซียและจีนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาหาระเบียบโลกใหม่ ซึ่งจะเป็นระเบียบที่ไม่ยอมรับระเบียบเสรีนิยมที่สหรัฐได้จัดตั้งขึ้นมา

ถือว่าการคว่ำบาตรเป็นการใช้ระเบียบเสรีนิยมมาบีบ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามหาทางใหม่เพื่อให้เงินดอลลาร์ไม่เป็นเงินของโลกต่อไปในลักษณะที่เคยเป็นมา

ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้มีการขยายบทบาทของ BRICS มากขึ้น กลายเป็นจุดที่เกิดขึ้นในเรื่องที่เชื่อมโยงกลับไปสู่สงครามยูเครน

ถามว่าในสภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายๆ ด้านไทยจะต้องตั้งรับอย่างไร

ศาสตราจารย์กันตธีร์กล่าวว่า ประเทศไทยมีบทบาทที่เราสามารถเดินได้ค่อนข้างจะดี

ประเด็นแรก ผมคิดว่าเป็นนโยบายที่ดีมากที่สุดสำหรับไทย คือ เราไม่ได้ไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่สำคัญสำหรับไทย เราจะต้องพิจารณาในเรื่องปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ปัญหาไหนที่เราคิดว่ามุมมองของเราคล้ายกับประเทศใดประเทศหนึ่งหรือในหลายประเทศในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราสามารถที่จะสนับสนุนตรงนั้นได้

ถ้าเราไม่เห็นด้วยเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ในกลุ่มนั้นในลักษณะที่ไปสนับสนุน

เราต้องมีนโยบายที่เป็นตัวของตัวเอง ตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะพิจารณาได้แล้วแต่กรณี และเป็นตัวของตัวเองในการเดินหน้าต่อไป

ที่สำคัญคือการวิเคราะห์ของไทยอาจจะต้องวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถที่จะมีนโยบายรองรับในการดำเนินการต่อไปได้อย่างดี

สุดท้าย ศาสตราจารย์กันตธีร์มองการที่ประเทศไทยกำลังพิจารณาเข้าสู่กลุ่ม BRICS ว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เนื่องจากประเด็นของ BRICS ที่สำคัญมากมคือเราจะต้องคำนึงถึงประเด็นทุกแง่มุม

ประเด็นเสี่ยงประเด็นแรกคือ ตอนนี้ BRICS ได้นำมาใช้ในเรื่องการเมืองโดยเฉพาะในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก กับรัสเซียหรือจีน ตรงนี้เราก็จะต้องมีความระมัดระวัง

BRICS จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่จะหาทางเลือกใหม่ขึ้นมา ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีความไม่ค่อยพอใจในระบบเสรีเสรีนิยม ระบบที่ใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลหลักของโลก ไม่อยากจะอยู่ภายใต้การชี้นำตรงนั้น จะหาทางเลือกใหม่ ซึ่งทางเลือกใหม่ไม่ใช่หาง่าย แต่ว่าเป็นขบวนการหาทางเลือกใหม่ จึงมีความอ่อนไหว เราจะต้องระวัง

แต่สิ่งที่ผมมองว่าประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เราตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS เราจะต้องไม่เข้าไปในลักษณะที่เป็นเครื่องประดับ ไม้ประดับ ไปแล้วก็เงียบไป ไม่ได้มีบทบาทที่ชัดเจน เขาทำอะไรไปเราก็อยู่เป็นตัวประกอบ ซึ่งผมไม่อยากเห็นไทยเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ควรจะคำนึงถึงบทบาทที่เรามีอยู่และเคยใช้ คือ บทบาทในการเป็นสะพานทางเชื่อมระหว่างงานคู่ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ซึ่งตรงนี้เราสามารถที่จะทำได้ แต่ต้องเป็นนโยบายที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน ผู้นำจำเป็นต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าร่วมประชุมในเวทีระหว่างประเทศ พร้อมทั้งนำเสนอข้อเสนอและความคิดเห็นในเรื่องการลดความรุนแรงระหว่างแต่ละขั้วอำนาจของโลกที่อาจจะเกิดขึ้น ตรงนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดี

แต่ที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นเพียงเครื่องประดับว่าเขาจะทำอะไรเราก็ไปนั่งฟัง ตรงนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี

ชมคลิป