ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
นอกจากคำว่า Brain rot หรือ สมองเน่า ที่เป็นคำแห่งปีแล้ว
อีกคำหนึ่งที่น่าพูดถึงคือคำว่า Polarization ซึ่ง Merriam – Webster จัดให้เป็นคำแห่งปี นอกเหนือจากคำว่า demure (ภาษาไทยร่วมสมัยน่าจะแปลว่า “ไม่ตะโกน”)
เหตุที่คำว่า Polarization ถูกจัดให้เป็นคำแห่งปี เพราะเป็นคำที่ถูกใช้ ถูกเขียน ถูกพูดถึงและถูกค้นหามากที่สุด
ซึ่งเขาอธิบายว่านี่คือสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนอเมริกันที่พยายามจะทำความเข้าใจสภาวะทางการเมือง
รวมไปถึงความพยายามจะอธิบายภาวะอิหลักอิเหลื่อทางความรู้สึกของตนเองที่ต่อการเมืองในปี 2024
Polarization แปลว่าอะไร?
แปลว่า ภาวะการแบ่งออกเป็นสองฝั่งสองขั้วสองข้าง
ในกรณีของอเมริกาที่มีสองพรรคการเมืองแข่งกันเป็นรัฐบาลคือ รีพับลิกัน กับ เดโมแครต มายาวนานเกือบตลอดประวัติศาสตร์ของอเมริกา สองพรรคนี้ผลัดกันเป็นประธานาธิบดี
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะแบ่งขั้วแบ่งข้าง
ฝ่ายที่เชียร์เดโมแครตไม่ได้คิดว่าถ้าประธานาธิบดีมาจากรีพับลิกันแล้วประเทศชาติจะล่มจม
หรือฝั่งที่เชียร์รีพับลิกันในเวลาที่มีประธานาธิบดีจากเดโมแครตก็ไม่ได้คิดว่าแย่แล้ว ประเทศจะล่มสลาย มองไปทางไหนก็มีแต่ความสิ้นหวัง
ภาวะ Polarization ในการเมืองอเมริกาน่าจะเกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ มาลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในห้วงเวลาหรือเราอาจใช้คำว่าบริบทของสังคมอเมริกันกำลังเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับ identity politics อย่างเข้มข้นที่สุด
identity politics คืออะไร?
อธิบายอย่างหยาบคือ การเมืองที่ให้ความสำคัญเรื่องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ สีผิว เพศ การขยายความหมายของประชาธิปไตยว่าไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง เสียงข้างมาก แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ inclusive ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ประชาธิปไตยแบบเก่ามักละเลย “คนตัวเล็กตัวน้อย” ดังนั้น การเมืองในสภา หรือผู้แทนราษฎร จึงเป็นตัวแทนของคนที่มีอำนาจอยู่แล้ว เช่น คนผิวขาวและเพศชาย ไม่มีตัวแทนของผู้หญิง เกย์ เพศทางเลือก ชนกลุ่มน้อย ชาวพื้นเมือง
สิ่งที่มาพร้อมกับ identity politics คือ political correctness นั่นคือการระวังจะไม่ใช้คำพูดที่สะท้อนการ “เหยียด” ไม่ว่าจะเป็นเหยียดเพศ เหยียดสีผิว
เช่น ไม่เรียกใครว่า เกย์ กะเทย แต่เรียกว่าเพศทางเลือก ไม่เรียกคนดำว่านิโกร แต่เรียกว่า ผิวสี ไม่เรียกว่าชาวเขา แต่เรียกว่าชาติพันธุ์
ไม่เรียกว่าคนจน แต่เรียกกลุ่มเปราะบาง คำว่า อ้วน เตี้ย ดำ ดั้งแหมบ กะเหรี่ยง ยาง แม้ว ฯลฯ เป็นคำต้องห้าม
ไม่เรียกเพื่อนร่วมงานผู้หญิงว่า “หนู” หรือ “คนสวย” หากเรียกแบบนี้ถือว่าเหยียด และเกือบจะเข้าข่ายคุกคามทางเพศ
Identity politics จึงเป็น “ความก้าวหน้า” ของสังคมประชาธิปไตย เพราะมันบอกเราว่าแม้จะมีการเลือกตั้ง แม้อำนาจจะเป็นของประชาชน แม้จะเคารพเสียงข้างมาก แต่ก็พบว่ามีอีกหลาย “เสียง” ที่หายไป เพราะถูกทำให้ประหนึ่งว่าไม่มีตัวตน
เช่น ในยุคหนึ่งที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือเมื่อไม่มีตัวแทนของคนที่มีความหลากลายทางเพศอยู่ในเวทีการเมืองเลยก็ทำให้ทุกนโยบายของรัฐบาลถูกคิดและถูกออกแบบมาบนโลกทัศน์แบบชายจริงหญิงแท้ และครอบครัวในอุดมคติกระแสหลัก
เมื่อไม่มีตัวแทนของคนพื้นเมืองชาวเมารี ชาวอินเดียนแดงเลย ก็ทำให้การมีอยู่ของคนเหล่านี้เป็นประหนึ่งพลเมืองชั้นสอง
Identity politics จึงทำให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายหลายอย่าง เช่น กฎหมายทำแท้ง กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายรับรองสิทธิของคนพื้นเมือง การออกแบบห้องน้ำที่ไม่ระบุหรือแบ่งเพศ
หรือแม้กระทั่งกฎหมายยกเลิกคำนำหน้าชื่อแบบ นาย นาง นางสาว
แต่หลายอย่างของการเมืองเชิงอัตลักษณ์ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง
เช่น ประชาธิปไตยกระแสหลัก (การเมืองเก่า) ให้ความสำคัญกับรัฐโลกวิสัยหรือ secular state รัฐต้องไม่ฝักใฝ่ในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ดังนั้น ในพื้นที่เป็นกิจการของรัฐจึงห้ามมิให้แสดงอัตลักษณ์ทางศาสนา ความเชื่อใดๆ
แต่การเมืองเชิงอัตลักษณ์ในหลายครั้งเรียกร้องสิทธิที่จะแต่งกายตามความเชื่อทางศาสนาของตนในปริมณฑลที่เป็นการเมืองของรัฐ เช่น ในสภา
ทำให้ต้องมาเถียงกันว่า จะถือหลักการเป็นกลางทางความเชื่อ ศาสนา หรือจะเปิดเป็น inclusive อนุญาตให้มีสัญลักษณ์ พิธีกรรมทางศาสนาได้
การเมืองเชิงอัตลักษณ์นี้จะให้ความสำคัญกับเรื่อง “สิทธิ” เหนือสิ่งอื่นใด สำนวนแบบ my body my choice ก็สะท้อน “ความก้าวหน้า” ของสังคม
ในขณะที่การเมือง “เก่า” มองว่า กาละ เทศะ ความเหมาะสม กฎ ระเบียบ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ขบวนการที่เรียกว่า pantsuite movement ของ ฮิลลารี คลินตัน ก็อยู่ในกระแสนี้ในทศวรรษที่ 2000s ที่เรียกร้องให้ผู้หญิงสามารถใส่สูทกางเกงไปทำงาน ไปประชุมสภาได้ จากเดิมที่มองว่าถ้าผู้หญิงใส่กางเกงจะถือว่าไม่สุภาพ
คล้ายกับที่ในประเทศไทยกลุ่มทนายความหญิงเรียกร้องให้ทนายหญิงสวมกางเกงไปศาลได้
ดังนั้น ขบวนการเฟมินิสต์ ขบวนการเรียกร้องสิทธิของผู้อพยพ การเรียกร้องสิทธิให้แรงงานต่างด้าว สิทธิของชนกลุ่มน้อย คนชายขอบ ความหลากหลายทางเพศ คนผิวสี ฯลฯ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อให้ประชาธิปไตยมีพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่ถูกกีดกันออกจาก “การเมือง” ที่อาจเกิดจากอคติทางวัฒนธรรม ศาสนา การถูกกดทับจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ เช่น เป็นทาสที่ซื้อมาจากแอฟริกา หรือเคยเป็นอาณานิคม หรือเป็นลูกหลานแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ถามว่าความก้าวหน้าทางการเมืองดีหรือไม่?
ดีแน่นอน แต่ปัญหามันเริ่มเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มคนที่สมาทานความก้าวหน้าเช่นนี้เริ่มเห็นคนอื่นที่คิดไม่เหมือนตัวเองเป็นศัตรูจนทำให้เกิดวัฒนธรรม woke ขึ้นมา
woke แม้กระทั่งกลุ่มคนที่สมาทานแนวคิด non-binary หรือกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องการแบ่งคนด้วยเพศสภาพ ไปด่ากราดกลุ่มเฟมินิสต์ว่า โบราณ คร่ำครึ ล้าหลัง และ “เหยียดเพศ”
หรือกระแสที่ oversensitive นั่นคือเปราะบางเจ็บปวดไปหมด พูดว่าอยากขาว ก็เท่ากับเหยียดคนดำ
พูดว่าอยากจมูกโด่งก็เท่ากับเหยียดคนจมูกแบน เอะอะกรีดร้องเรื่อง บิวตี้พริวิเลจ อภิสิทธิ์ จากการมีหน้าตาสวย
และเมื่อการเล่นกับการเมืองเชิงอัตลักษณ์และการ woke กลายเป็น “เครื่องหัว” ที่เอาไว้แสดงความเป็น “ปัญญาชนหัวก้าวหน้า”
สื่อมวลชนที่อยากจะดูดี ดูฉลาดก็พากันทำคอนเทนต์ woke ที่แสนจะเก๋นี้
ดารานักแสดง พิธีกร คนอ่านข่าวที่อยากได้ชื่อว่าจัดอยู่ในประเภท “ช่วล” ก็ต้องหันสมาทานแนวคิดทางการเมืองแบบนี้
อยากเป็นดาราที่ดูดี ก็ต้องจัดงานกาล่า เชิญทนายความที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษ เปิดระดมทุนช่วยงานซ่อมสร้างประชาธิปไตยในประเทศที่อยู่ภายใต้เผด็จการ
แน่นอนว่าสำหรับสังคมอเมริกาการเชียร์เดโมแครตก็ทำให้ได้ภาพความเป็นปัญญาชน หัวก้าวหน้า ไม่เหยียดเพศ ไม่เหยียดผิว
และทันใดนั้นก็มีคนแบบทรัมป์ ที่ออกมาพูดทุกอย่างที่ politically incorrect เพราะมาครบ ทั้งเหยียดเพศ เหยียดผิว เหยียดผู้อพยพ เหยียดชนกลุ่มน้อย ต่อต้านการทำแท้ง
ในบริบทที่เศรษฐกิจตกต่ำ คนแคร์เรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องการจะคุยกันว่า เรื่องเพศเป็นสิ่งประกอบสร้างทางสังคมหรือไม่ คนผิวขาวที่ยากจนจำนวนไม่น้อยเบื่อพวก woke จนแทบอ้วก
คนอนุรักษนิยมจำนวนมากรู้สึกว่าตัวเองถูกเหยีดหยามดูถูกจากพวก “ปัญญาชน” ที่อยู่บนหอคอยงาช้าง จึงรู้สึกว่าทรัมป์พูดแทนพวกเขา เป็นปากเสียงให้กับเขา
และเมื่อคะแนนนิยมของทรัมป์มากขึ้นจนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรกก็ยิ่งทำให้ทั้งสื่อมวลชน ปัญญาชน และประชาชนที่คิดว่าตัวเองหัวก้าวหน้าก็สติแตก
เพราะแนวคิดแบบทรัมป์มันช่างเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยเสียจริง
จุดนี้เองที่มันทำให้เกิดสงครามทางความคิดระหว่างคนสองกลุ่ม นั่นคือกลุ่มคนหัวก้าวหน้า กับกลุ่มคนที่บางทีก็ถูกเรียกว่า red neck หรือ พวกคอแดง ไร้การศึกษาที่เชียร์ทรัมป์
และสิ่งนี้มันก็สะท้อนออกมาในผลการเลือกตั้ง เช่น เมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี ในสภาคองเกรส เสียงของเดโมแครตกับรีพับลิกันก็ยังก้ำกึ่ง
พอโจ ไบเดน ขึ้น สภาพในสภาคองเกรสก็ไม่ต่างจากสมัยทรัมป์ เลือกตั้งใหม่ ทรัมป์ก็กลับมาอีก พอทรัมป์กลับมา อาการของปัญญาชน คนหัวก้าวหน้าที่อกหักก็รุนแรงขึ้น
สื่อหัวก้าวหน้าก็เล่นแต่ข่าวที่ชวนให้รู้สึกว่าอเมริกาล่มแล้ว สิ้นหวัง หดหู่ น่าอับอาย ที่ได้คนบ้า คนถ่อย คนที่มีความคิดเหยียดเพศ เหยียดผิว ทำทุกอย่างผิดในมาตรฐานของ “คนดี” ตั้งแต่บุคลิก คำพูด มารยาท ชีวิตครอบครัว มาเป็นผู้นำประเทศ
ภาวะ polarization แบบนี้ทำให้คนใช้อารมณ์ในการพูดเรื่องการเมืองมากกว่าใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง
และทำให้เกิดภาวะที่มองที่ตัวบุคคลมากกว่า เนื้อหา นโยบาย
มันจริงที่ว่าทรัมป์เหยียดผู้อพยพ แรงงานต่างด้าว ประกาศจะผลักดันแรงงานต่างด้าวกลับประเทศต้นทางทันทีที่ขึ้นสู่อำนาจ
แต่ถ้ามาดูที่ข้อมูลจะพบว่า ในสมัยของไบเดนก็มีการส่งแรงงานผิดกฎหมายกลับประเทศไปไม่น้อย เพียงแต่ “ท่วงทำนองและภาษา” ที่นักการเมืองเดโมแครตใช้ในการสื่อสารจะมีความถูกต้องทางการเมืองหรือ politically correct มากกว่าทรัมป์
หรือหนักกว่านั้นคือ อาจจะทำอะไรหลายอย่างเหมือนทรัมป์นั่นแหละแต่ไม่พูด ไม่ประกาศให้น่าเกลียด
Polarization นี้ที่สะท้อนออกมาผ่านสื่อคือ การที่สื่อเลือกข้างเดโมแครตอย่างชัดเจนทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาที่ผ่านมาผลโพลบอกว่า กมลา แฮร์ริส จะชนะ
แต่ปรากฏว่าผลการเลือกตั้งกลับกลายเป็นทรัมป์ชนะในคะแนนที่ค่อนข้างห่างด้วยซ้ำ
สิ่งนี้สะท้อนว่า ผลโพลกับกระแสในสื่อนั้นสอดคล้องกัน แต่ไม่สอดคล้องกับความจริงที่มีคนจำนวนมากเป็น “เสียง” ที่ไม่แสดงผ่านสื่อ
และนั่นก็ยิ่งทำให้คนที่เสียงดังในสื่อหรือเสพสื่อที่มีอิทธิพลอย่างนิวยอร์กไทม์ส ยิ่งอกหัก
อเมริกันชนที่เป็นปัญญาชนรับไม่ได้กับชัยชนะของทรัมป์ไม่น้อยพากันออกมาบอกว่าจะแกล้งหลับไปสี่ปี แล้วค่อยตื่นมาใหม่ตอนเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ polarization ในสังคมอเมริกาสำหรับฉันไม่ได้น่ากังวล เพราะสื่อมวลชนก็แข็งแกร่งทั้งสองฝั่ง ประชาชนก็เลือกดูสื่อในฝั่งที่เลือกข้างเดียวกับตัวเอง
เช่น ฝ่ายขวาก็มี Fox news ฝ่ายเดโมแครตก็มี NPR news ทั้งสองฝั่งต่างมีความเป็นมืออาชีพ แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่
และพรรคการเมืองทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตต่างก็เป็นพรรคการเมืองที่อายุร่วมร้อยปี มีความแข็งแกร่งทางสถาบันแล้ว ไม่มีเรื่องยุบพรรค ตัดสิทธิ ไม่มีรัฐประหาร
ดังนั้น polarization ทางการเมืองนี้อย่างมากก็ทำให้เกิดภาวะจิตตกรวมหมู่ แต่ไม่มีอะไรน่ากังวลมากกว่านั้น
แต่สิ่งที่ควรกังวล (หรือเปล่านะ) สำหรับฉันคือ polarization ในสังคมไทย
เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองอันแสนสั้นของไทยนั้น ภาวะแบ่งขั้วทางการเมืองมันช่างยอกย้อนเหลือเกิน
ฉันคิดว่าการแบ่งขั้วทางการเมืองของไทยที่ชัดเจนมากคือขั้วการเมืองเหลืองกับแดงหลังการรัฐประหารปี 2549
ในยุคนั้นเข้าใจไม่ยากเลย มีขั้วเหลืองคือ ขั้วเกลียดทักษิณ ชินวัตร เชียร์รัฐประหาร ต้องการการเมืองคนดี
ส่วนขั้วสีแดงคือ ขั้วรักทักษิณ (ปกป้องนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง) ต่อต้านรัฐประหาร มองว่า “คนดี” เป็นวาทกรรมทำลายประชาธิปไตย
ณ สมัยนั้น สื่อมวลชนร้อยละเก้าสิบเก้า เชียร์ขั้วสีเหลือง
ดารา ปัญญาชน อินฟลูฯ นักเขียน ศิลปิน เชียร์รัฐประหาร
คนเสื้อแดงเป็น “ควายแดง” สู้เพื่อทักษิณ
วอยซ์ทีวีเป็นสื่อเทียม กระบอกเสียงทักษิณ
ใครที่เคยมีชีวิตในยุคนั้นจะพบเจอประสบการณ์ เพื่อนเป็นเหลือง เราเป็นแดง พ่อแม่เป็นเหลือง ลูกเป็นแดง หรือเป็นแดงคนเดียวท่ามกลางครอบครัวที่เป็นเหลือง
จนกระทั่งปี 2533 หลังการสังหารคนเสื้อแดงกลางเมือง ปัญญาชนไทยเริ่มขยับตัวชัดเจน
สื่ออย่างประชาไทขยับออกมาเป็นสื่อที่ยืนอยู่ข้างคนเสื้อแดง แม้กระนั้น คนมีการศึกษา ปัญญาชน หรือแม้กระทั่งนิติราษฎร์เองก็ประกาศชัดว่า ยืนเคียงข้างอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง แต่ไม่ได้แปลว่ายืนอยู่ข้างทักษิณและเพื่อไทย
เพราะฉะนั้น เฉดสีจึงเป็นเหลืองจัด, เหลืองที่เสียงเริ่มอ่อน นั่นคือบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงของรัฐ แต่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง
และยังอธิบายวิกฤตการเมืองเกิดจากนักการเมืองเลว โกง
เฉดถัดมาคือ สีขาว นักวิชาการ เอ็นจีโอ สื่อมวลชนที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการ รัฐประหาร ประณามการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลที่มีต่อประชาชน
พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัวตลอดว่าไม่ใช่คนเสื้อแดง เพราะมองว่าเสื้อแดงคือมวลชนของทักษิณ คนฉลาดๆ ไม่มีใครไปเป็นเครื่องมือของนักการเมืองหรอก
เฉดถัดมาจึงเป็นเสื้อแดง และในหมู่เสื้อแดงก็มีทั้งแดงประชาธิปไตย, แดงรักเจ้า, แดงทักษิณ, แดงวิชาการ ไปจนถึงแดงฮาร์ดคอร์
ในระหว่างนี้สื่อที่มีบทบาทน่าสนใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้อย่างยิ่งในการก่อรูปอุดมการณ์ใหม่ในสังคมไทยคือ วอยซ์ทีวี เนื่องจากในยุค เหลือง vs แดง วอยซ์ทีวีถูก gaslighted (ถูกทำให้มองว่าตัวเองเป็นสื่อเทียมเพราะเจ้าของคือชินวัตร)
วอยซ์ทีวีจึงมีความพยายามจะพิสูจน์ตัวเองกับสังคมว่าแม้เจ้าของวอยซ์ทีวีจะเป็นชินวัตร แต่เราคือ “สื่อคุณภาพ” เราคือ “สื่อประชาธิปไตย”
ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมาจะเห็นว่า วอยซ์ทีวีเป็นสื่อที่ให้พื้นที่กับการถกเถียงเรื่องรัฐประหาร กฎหมายอาญา มาตรา 112
การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร พูดเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ตั้งแต่ยังไม่มีสื่อไหนให้ความสนใจ
พูดเรื่องสิทธิของผู้ค้าบริการทางเพศ พูดเรื่องสิทธิทางเพศที่หลากหลาย พูดเรื่องกัญชาถูกกฎหมาย พูดเรื่องคนล้นคุก พูดเรื่องเอไอ พูดเรื่องนโยบายยาเสพติดด้วยวิธีลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด พูดเรื่องการกระจายอำนาจ พูดเรื่อง rape culture ฯลฯ
เรียกได้ว่า วอยซ์ทีวีคือ woke ที่มาก่อนกาล และในยุคนั้นแทบจะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างแปลกปลอมในสังคมไทย ไม่เป็นที่นิยม ไม่สร้างเรตติ้ง ไม่สร้างรายได้
และอาจพูดได้ว่าเป็นสื่อที่ให้พื้นที่กับนิติราษฎร์ มากที่สุดเพียงสื่อเดียวในยุคนั้น
และยังถ่ายทอดเวทีเสวนาทางการเมืองที่เข้มข้น ท้าทายต่ออำนาจเผด็จการอย่างแหลมคมที่สุด
ด้วยจุดยืนเช่นนี้ หลังการรัฐประหารปี 2557 แบรนดิ้งของวอยซ์ทีวีเริ่มชัดเจนในฐานะ “สื่อประชาธิปไตย” ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีภาพเป็น “สื่อเลือกข้าง”
และด้วยจุดยืนของสื่อหัวก้าวหน้า สื่อประชาธิปไตย งานโปรดักชั่นที่ทันสมัย ล้ำยุค วอยซ์ทีวีกลายเป็นที่ที่คนรุ่นใหม่ๆ อยากเข้ามาทำงานด้วยมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 วอยซ์ทีวีคือสื่อที่ให้พื้นที่กับพรรคอนาคตใหม่ สนับสนุน เชียร์ เชิญมาสัมภาษณ์
ในขณะที่หลายๆ สื่อยังลังเลว่าจะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของตนเองกับอนาคตใหม่อย่างไร และ ณ วันนั้นสื่อยังกลัวการพูดถึงประเด็นที่แหลมคม เช่น การปฏิรูปกองทัพ หรือกฎหมาย 112
ในห้วงหนึ่งภาพของวอยซ์ทีวี อุดมการณ์ของวอยซ์ทีวี พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่จึงดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นพันธมิตรกันอย่างแน่นแฟ้น
บุคลากรหลายคนของพรรคอนาคตใหม่ก็ไปจากวอยซ์ทีวี พร้อมกับโลกทัศน์ ชุดความคิดและภาษาแบบ woke ที่วอยซ์ทีวีสั่งสมมาโดยตลอด เพื่อพิสูจน์กับสังคมว่า ควายแดงมันมีความรู้ ควายแดงมันไม่โง่
จนกระทั่งสังคมสุกงอมกับความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย จนกระทั่งการต่อต้านเผด็จการกลายเป็นกระแสหลัก จุดพีคที่สุดของวอยซ์ทีวีคือช่วงที่มีม็อบไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา และวอยซ์ไปถ่ายทอดสดม็อบเกือบทุกม็อบ และทำให้วอยซ์ทีวีมีเรตติ้งสูงที่สุดตั้งแต่เป็นสื่อ หลังจากนั้นที่ขั้วการเมืองเริ่มขยับอีกครั้ง
เหลือง กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชย เก่า ล้าหลัง เฟกนิวส์ กินฉี่ตัวเอง คลั่งชาติ อยู่กับประวัติศาสตร์แบบมอมเมา ล้างสมอง
แดง กลายเป็นความโรแมนติกของการต่อสู้ คนรุ่นใหม่ ใครๆ ก็อยากเชื่อมต่อกับประวัติศาสตร์ของคนเสื้อแดง
วอยซ์ทีวีคือสื่อของคนก้าวหน้า ทันสมัย ต่อต้านเผด็จการ อุดมการณ์แข็งแกร่ง ยืนหยัด
และสื่อต่างๆ ก็เริ่มอยากเป็นเหมือนวอยซ์ทีวี อยากมีคอนเทนต์แบบวอยซ์ทีวี เหมือนเอ็กโค่ เด็กแนวแสนเกรียน
ประจวบกับการปรับตัวของสือกระแสหลักที่หันมาช่วงชิงตลาดในสื่อออนไลน์ และต้องมีภาพของความ “ช่วล” ถึงจะดูไม่ตกยุค
ในช่วงเวลาสั้นๆ ทางประวัติศาสตร์ของการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองก็มีพลวัตอย่างตื่นตาตื่นใจ
ทว่า ไม่ค่อยมีใครบันทึกภาพพลวัตนี้ไว้สักกี่มากน้อย
และการเปลี่ยนขั้วเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างสนุกมาก นั่นคือช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ที่เพื่อไทยหาเสียงด้วยยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ ทำให้ก้าวไกลต้องพลิกเกมมาสู้กับเพื่อไทย
ทำให้สองพรรคนี้ขับเคี่ยวต่อสู้กันในสนามเลือกตั้งอย่างเข้มข้น
และแม้แต่ในวอยซ์ทีวีเองคอมเมนเตเตอร์ก็แบ่งข้างอย่างชัดเจนว่าใครเชียร์ส้มใครเชียร์เพื่อไทย
ฉันกำลังชี้ให้เห็นว่าการเมืองไทยมาถึงอีกจุดตัดหนึ่งนั่นคือเดิมเป็น การแบ่งขั้วแบ่งข้างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ เหลืองและแดง แต่การเลือกตั้งปี 2566 จนมาถึงการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยหลังจากที่พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวกระตุ้นที่สำคัญคือ อดีตนายกฯ ทักษิณ หลังจากได้รับอิสรภาพ และแสดงความคิดเห็นอีกทั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ทำให้polarization ของการเมืองไทยไม่ได้เป็นการแบ่งขั้วของ เหลืองและแดงอีกต่อไป
แต่เป็นการแบ่งระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตย แดงกับส้ม และเกิดวาทกรรม แดงคือการเป็นขี้ข้าทักษิณ ส่วนส้มคือผู้กอบกู้ชาติ ประชาธิปไตย
และความยุติธรรมคือผู้จะปลดปล่อยคนไทยให้หลุดจากการกดขี่ของนายทาสและนายทุน
ณ วันนี้ขั้วการเมืองไทยจึงแบ่งเป็นสองขั้ว
ส้ม : สื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหมด (ในอดีตเป็นเหลือง) ปัญญาชนสาธารณะ นักวิชาการชั้นนำ (ในอดีตเป็นแดงปีกก้าวหน้ากับสองไม่เอา)
แดง : โหวตเตอร์ของเพื่อไทย
ความหรรษาของเรื่องนี้คือ ทุกอุดมการณ์และการต่อสู้ทางความคิดเพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยเสรีนิยมที่สร้างผ่าน 14 ปีของวอยซ์ทีวีคือแหล่งกำเนิดมวลชนแบบส้มหรือกลุ่ม woke ทั้งหลาย
ในขณะที่คนอย่างฉันที่ woke มาตลอดต้องเอามือตบอกตัวเองว่า การ woke แบบฉาบฉวย พ่นแต่คำศัพท์เท่ เข้าใจแนวคิดทางการเมือง สังคมเพียงเปลือกที่ผิวเผินเช่นนี้ เป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ฉันพยายามจะสื่อสารและนำพาสังคมไทยให้เกิดแนวคิดเชิงวิพากษ์ต่อความเชื่อความรู้กระแสหลัก
ความสนุกอีกประการหนึ่งคือ polarization วันนี้ สื่อมวลชนกับปัญญาชนที่ในอดีตก็เคยร่วมกับพันธมิตรฯ ไล่ทักษิณ วันนี้จับมือกันเป็นส้มเป็นคนหัวก้าวหน้ามองว่าทักษิณคือความฉ้อฉลเหนี่ยวรั้งความก้าวหน้าของประเทศ
และพรรคส้มคือขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอารยะ
ควายแดง “หัวก้าวหน้า” ไปกินส้ม
ส่วนคนที่ไม่กินส้มเพราะชอบการเมืองแบบตาดูดาวเท้าติดดิน ไม่ฟูมฟายโรแมนติก กินข้าวทีละคำ ไม่เชื่อว่าการเมืองมันจะมหัศจรรย์ เปลี่ยนแปลง ปฏิรูปได้ทันใจ เชื่อการต่อรอง เจรจา รุกบ้าง ถอยบ้าง มองนักการเมืองเป็นมนุษย์ มีเก่งมีไม่เก่ง มั่นใจว่า เชื่อในความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ ยอมรับความจริงว่าคนที่เราเชียร์ไม่เก่งมากหรอก แต่ไม่คาดหวังอะไรมาก ขอแค่ได้เลือกตั้งไปเรื่อยๆ สักวันมันต้องมีความเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราจึงเลือกเชียร์เพื่อไทยต่อ
กลุ่มนี้ถูกมองว่า “แบก” เป็นขี้ข้าทักษิณ ไม่ทระนงองอาจ เป็นหมาที่เขาเลี้ยงไว้เห่า ฯลฯ
วันนี้พรรคแดงเป็นรัฐบาล ฝ่ายเชียร์ส้มก็โลกมืด หดหู่ สิ้นหวัง ประเทศไทยตำต่ำในทุกมิติ ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกของชาวเดโมแครตในอเมริกา
วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า การเมืองแบ่งขั้ว ส้มกับแดง นี้จะนำไปสู่อะไร แต่คงต้องบันทึกว่า สังคมไทยก็ไม่ตกเทรนด์ polarization เหมือนอเมริกา เหมือนเกาหลีใต้
ตราบเท่าที่ไม่มีรัฐประหาร ตัวฉันเองก็มองปรากฏการณ์นี้อย่างเพลิดเพลิน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022