ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
ช่วงนี้ผมมีเรื่องอยากจะเล่าเยอะเลยครับ โดยมากก็เป็นประสบการณ์ตรงจากการไปนั่นนี่ต่างๆ โดยคิดว่าจากประสบการณ์แบบที่คุณไมเคิล ไรท์ ชอบใช้ว่า “เดินด้วยตีน เห็นด้วยตา” จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน
ทั้งหวังว่าท่านคงจะไม่เบื่อเสียก่อน
ผมเป็นคนรักสบาย ไม่ชอบบุกป่าฝ่าดง หรือจะไปค้างอ้างแรมที่ไหนก็เน้นที่พักหลับนอน เรื่อง “นอนวัด” นี่ห่างไกลจากชีวิตมากแม้จะเคยไปอาศัยนอนอยู่หลายครั้ง
แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับทางวัดจีนหรือที่จริงต้องเรียกว่า วัดไต้หวันแห่งหนึ่งในเมืองไทยนี้เอง แล้วได้ไปค้างคืนถือศีลอุโบสถที่วัดนั้น
เลยได้มีประสบการณ์ใหม่ในการไปพักครั้งแรกในวัดจีน จึงอยากเล่าสู่กันฟัง รวมทั้งความน่าสนใจในระบบและการจัดพื้นที่วัดด้วย เผื่อจะเกิดประโยชน์แก่ท่านที่เป็นเจ้าอาวาส หากท่านได้อ่าน หรือผู้สนใจพุทธศาสนาโดยทั่วไป
วัดที่ผมไปพักนั้นเป็นวัดมีชื่อเสียงมากครับในไต้หวัน ซึ่งมาเปิดสาขาในเมืองไทย ชื่อวัด “โฝวกวงซัน ไท่ฮวาซื่อ” หรืออ่านแบบฮกเกี้ยนว่า ฮุดกองซ้าน (ถ้าแต้จิ๋วว่า ฮุกกวงซัว) ซึ่งมีความหมายว่า พุทธประภาคีรี/พุทโธภาสบรรพต ฯลฯ แต่ทางวัดใช้นามภาษาไทยว่า “มูลนิธิพุทธรังษี สถาบันพุทธศาสนาเถรวาท-มหายาน” ทั้งยังมีความหมายถึงความร่วมมือ เป็น “อารามไทย-จีน”
วัดแรกก่อตั้งในไต้หวันราวปี พ.ศ.2510 โดยพระอาจารย์ซิงหวิน ซึ่งท่านเพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่นานนี้เอง แม้ใช้เวลาไม่กี่สิบปีก็มีวัดสาขาทั่วโลกเกือบสามร้อยแห่งรวมถึงเมืองไทยด้วย
วัดโฝวกวงซานเป็นวัดนิกายฉานหรือนิกายเซน (นิกายธยานะหรือนิกายวิปัสสนา) ผมเข้าใจว่าเป็นสายหลินฉีหรือหลิ่นเจ่ ในแง่นี้จึงเป็นข้อดีที่คำสอนและแนวทางการปฏิบัติสามารถประสานกับพุทธศาสนาแบบไทยได้ไม่ยาก
ใครไปเที่ยวไต้หวัน หากมีโอกาสก็มักไปเยี่ยมชมวัดโฝวกวงซัน เพราะความสวยงามและยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนโฝวกวงซานในเมืองไทยซึ่งตั้งอยู่ที่คู้บอนก็ยิ่งใหญ่อลังการเช่นเดียวกัน กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ
ด้วยเพราะความอลังการนี้เอง บางท่านก็เปรียบเปรยโฝวกวงซานกับวัดพระธรรมกายของไทยว่าคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นวัดที่เน้นการก่อสร้างถาวรวัตถุขนาดใหญ่ มีสาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย รวมถึงคำสอนให้สาธุชนทำบุญสุนทาน
แต่เท่าที่ผมได้สัมผัสในระยะเวลาอันสั้นก็คิดว่ามีความต่างอยู่พอสมควรครับ
เป็นต้นว่า แม้โฝวกวงซานจะมีอาคารสถานที่ขนาดใหญ่ แต่แนวคิดด้านพุทธศาสนาก็เป็นไปตามหลักมหายานโดยทั่วไป มิได้มีการตีความที่แผกหรือแหวกแนวออกไป
ทั้งพระอาจารย์ซิงหวินก็พยายามเสนอแนวคิด “พุทธศาสนามนุษยนิยม” ที่เสนอว่าให้เน้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
บุคคลพึงมีน้ำใจและช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน โฝวกวงซานจึงมิกิจกรรมอื่นๆ เช่น งานด้านสาธารณกุศลและการศึกษา นอกเหนืองานด้านศาสนาด้วย
จะว่าไปงานด้านสาธารณกุศลและสังคมสงเคราะห์กับพุทธศาสนาในไต้หวันนั้นดูจะเป็นอะไรที่มาด้วยกันเสมอ เช่น อารามฉือจี้ก็มีชื่อเสียงในด้านนี้มากๆ
ผมคิดว่าเหตุหนึ่งก็เพราะความเป็น “มหายาน” นี่แหละครับ รวมทั้งสังคมไต้หวันเองที่ผมเข้าใจว่ายังมีความสัมพันธ์กันในชุมชนค่อนข้างมาก
สองวันสองคืนที่ผมไปพักที่โฝวกวงซันนั้น หอพักหรืออาคารรับรองผู้ปฏิบัติเป็นห้องพักที่สะอาดสะอ้านอย่างที่สุด พร้อมด้วยอุปกรณ์อย่างชนิดที่โรงแรมดีๆ จะมีให้ ผ้าเช็ดตัว เครื่องอาบน้ำ ฯลฯ แม้จะพักห้องละสี่คน (เตียงสองชั้นสองเตียง) แต่ก็มีห้องน้ำในตัว อันที่จริงผู้ปฏิบัติที่ดีก็ควรจะพักในวัดหรือสถานปฏิบัติได้แม้ว่าจะเป็นสถานที่แบบใดก็ตาม การชื่นชมที่พักดีๆ และสะดวกสบายนั้นออกจะเป็นการตามใจตัวตนมากไปหน่อย
แต่เรื่องนี้ผมก็อดชื่นชมตามประสาคนกิเลสหนาไม่ได้ และคิดว่า คุณย่ายายหรือคนที่ต้องการความสะดวกประมาณหนึ่งก็น่าจะตัดสินใจมาจำศีลที่วัดได้ไม่ยาก
ประเด็นสำคัญในเรื่องการพักในวัดนั้น คือนอกเหนือจากความสะอาดและสะดวกแล้ว ผมคิดว่า วัดโฝวกวงซันใช้อาสาสมัครฆราวาสในการช่วยดูแลศาสนิกชน พระภิกษุและภิกษุณีไม่ต้องเข้ามาจัดการส่วนนี้ รวมถึงการแยกที่พักหญิงชายให้ชัดเจน มีรายชื่อเข้าพักอย่างเป็นระบบ ตัวที่พักของฆราวาสและพระอยู่คนละส่วน ได้ช่วยในเรื่องความปลอดภัยซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งด้วย
ในช่วงการปฏิบัติเช่นการถือศีลแปด ผู้ปฏิบัติในวัดจะมีชุดสำหรับการปฏิบัติและสวดมนต์ตามประเพณีจีน คือสวมไห่ชิง (ชุดคลุมยาว) ส่วนผู้ที่รับไตรสรณคมน์กับทางวัดแล้วก็จะสวมม่านอีหรือผ้าขมาภรณ์ทับ
ธรรมเนียมจีนต่างกับธรรมเนียมอินเดียและไทยอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือจีนถือว่าการเปลือยมือเท้านั้นไม่สุภาพ ควรจะต้องสวมรองเท้าให้เรียบร้อย ผู้มาปฏิบัติจึงต้องสวมรองเท้าหุ้มส้นเข้าในโบสถ์และประกอบพิธีกรรม ไม่เปลือยเท้าเข้าในเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างธรรมเนียมไทย-อินเดีย
เว้นแต่เป็นผู้มาเยือนหรือมาเที่ยวชม ท่านก็ให้ถอดรองเท้าตามอย่างธรรมเนียมไทย
เมื่อมีผู้มาปฏิบัติกันทีละเป็นร้อย อาหารจึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง วัดมหายานจีนโดยมากไม่บิณฑบาต อาหารจึงมาจากโรงครัวของวัด
ผมเห็นอาสาสมัครจำนวนมาก รวมทั้งภิกษุณีบางรูปได้มาทำอาหารเจให้เรากิน ท่านยังมาตักอาหารให้เราด้วยตนเอง ซึ่งหากเป็นการบำเพ็ญธรรมหรือถือศีลจะเป็นการฉันอย่างพระภิกษุ คือมีการสวดมนต์และพิจารณาอาหาร แต่นอกนั้นมักเป็นการตักอาหารกินเองแบบบุฟเฟ่ต์ เพื่อให้รับผิดชอบต่ออาหารที่ตนเองต้องกินให้หมด
อันที่จริงรูปแบบของการปฏิบัติหรือการไปถือศีลในวัดจีน นอกเหนือจากรายละเอียดปลีกย่อยนั้น ผมเห็นว่า แทบไม่ต่างกับการไปถือศีลในวัดไทยบ้านเรา แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือ ระบบและการจัดการ
วัดมีภิกษุและภิกษุณีไม่กี่รูปและเป็นชาวต่างชาติเสียมาก ท่านเหล่านี้ล้วนมีหน้าที่ที่ชัดเจนในกิจกรรมต่างๆ ของวัด ท่านใดสวดมนต์ นำพิธีกรรม แปล ดูแลงานครัว ดูแลอื่นๆ และเมื่อท่านทำหน้าที่ของตนแล้ว ก็แยกไปอยู่ในส่วนสังฆาวาส ไม่มานั่งเล่นคลุกคลีตีโมงกับฆราวาส
ส่วนมากเป็นภิกษุณีด้วยนะครับ แต่ละท่านเก่งกาจและคล่องแคล่วมากๆ น่าชื่นชม
งานอื่นๆ เช่น การรับลงทะเบียน ดูแลผู้เข้าพัก แนะนำเรื่องการปฏิบัติตัว แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า งานเอกสาร เป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ปฏิบัติ เป็นงานของจิตอาสาฆราวาสชายหญิง
ผมได้ยินแว่วๆ ว่า เขาเรียกท่านเหล่านี้ว่าเป็น “พระโพธิสัตว์” ที่มาช่วยงาน และเมื่อผู้ปฏิบัติรับไตรสรณคมน์กับทางวัดแล้ว ก็ให้ถือว่าท่านเหล่านี้ต่างเป็นพี่น้องทางธรรม ให้แนะนำสั่งสอนและช่วยเหลือกันใกล้ชิดขึ้น
ท่าทีของวัดก็สำคัญครับ วัดโฝวกวงซันเป็นตัวอย่างของวัดที่มีท่าทีต้อนรับผู้คนด้วยไมตรีจิตมากๆ ใครจะเข้ามาวัดด้วยวัตถุประสงค์ใดท่านก็ไม่รังเกียจ บ้างก็มามู มาไหว้พระ มาถ่ายรูป มาเที่ยว ฯลฯ คนมาปฏิบัติธรรมจริงๆ อาจไม่มาก กระนั้นท่านก็จัดเตรียมสิ่งไว้ต้อนรับคนเหล่านี้อย่างเต็มที่ มีคาเฟ่เล็กๆ ให้ชากาแฟที่ไม่ต้องจ่ายสตางค์แต่ทำบุญตามสมัครใจหรือจะไม่ทำท่านก็ไม่ว่า มีน้ำดื่ม ห้องน้ำสะดวกสบาย ใครอยากเรียนภาษาจีนก็มีสอนในราคาไม่แพง มีห้องเด็กเล่น ฯลฯ
ท่าทีแบบนี้เองผมก็เคยพบที่วัดญาณเวศกวัน ซึ่งพ่อแม่พาลูกไปอ่านหนังสือ ไปใช้พื้นที่วัดในการทำกิจกรรมต่างๆ
ที่สำคัญคือมีหนังสือธรรมวางอยู่หลายจุดในวัดให้คนมาหยิบเอาไปตามแต่ที่ชอบและสนใจ สอนธรรมแบบไม่ยัดเยียด เปิดโอกาสให้คนเข้ามาใกล้และได้ศึกษาแอง
ตารางการปฏิบัติที่วัดโฝวกวงซานนั้นแน่นเอียดเลยครับคือเริ่มตั้งแต่ตีห้าไปจนถึงสองทุ่ม มีเวลาส่วนตัวน้อยมากๆ และท่านก็ยึดมือถือไว้เสียด้วย เพื่อให้เราจดจ่อกับการปฏิบัติจริงๆ
และเพราะมีตารางแน่นเอียดนี่เอง สิ่งที่ผมชื่นชมอีกอย่างถือความตรงต่อเวลาของทุกภาคส่วนและแม้แต่พระมหาเถระ ท่านจะลงมาประกอบพิธีหรือให้คำสอนตามเวลา เมื่อหมดเวลาก็เลิก ไม่ยืดเยื้อ ไม่เทศน์นอกเรื่อง และอ่อนน้อมถ่อมตน
ที่ค้นมา ท่านว่าปกติเจ้าอาวาสวัดสาขาโฝวกวงซันจะดำรงตำแหน่งแค่สามปี และได้ไม่เกินสามวาระ พอหกสิบก็เกษียณจากทุกตำแหน่งกลายเป็นพระลูกวัด อันนี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ อาจมากที่สุดในบรรดาที่เล่ามาทั้งหมด
แม้เรื่องที่เล่ามาอาจดูมีแต่ข้อดี ไม่ยักจะเห็นผมวิจารณ์หรือพูดถึงข้อเสียเลย อันที่จริงก็เพราะผมเพิ่งได้สัมผัสเพียงเล็กน้อยจึงอาจยังเห็นไม่มากพอหรือยังไม่ทราบอะไรอีกมาก แต่ส่วนที่เป็นข้อดีนั้นก็น่าชื่นชมจริงๆ อย่างชัดเจน จึงคิดว่าควรนำมาเล่าต่อ
พระเณรและชาวพุทธทั้งหลายน่าไปศึกษาดูงานครับ •
ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022