รัชกาลที่ 3 สร้างชมพูทวีป และศูนย์กลางจักรวาลจำลอง ที่วัดสุทัศน์

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร หรือที่มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า วักสุทัศน์ นั้น มีประวัติการสร้างเล่าเอาไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2350 รัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระวิหารขึ้นกลางพระนคร ลงบนบริเวณที่เคยเป็นหนองบึง โดยได้ถมอิฐและหินบึงลงไป 7-8 ชั้น จนได้สถานที่กว้างใหญ่พอจะสร้างวัดขึ้น

และอะไรที่เรียกกันว่า “พระนคร” ของรัชกาลที่ 1 ซึ่งก็คือ “กรุงเทพฯ” นั้น ขยายตัวมาจาก กรุงธนบุรี ซึ่งอยู่ทางฟากตะวันตก อีกข้างหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ธนบุรี ที่เดิมมีชื่อว่า บางกอก เป็นชุมชนริมน้ำเก่าที่มีหลักฐานการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายลง สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงใช้เมืองธนบุรีที่มีอยู่ก่อนเป็นเมืองหลวง

จนกระทั่งเมื่อถึงคราวผลัดราชวงศ์ในรัชกาลต่อมา รัชกาลที่ 1 จึงโปรดให้ย้ายศูนย์กลางของเมืองมาอยู่ที่ฟากตะวันออก ซึ่งเดิมก็มีชุมชนอยู่แล้ว แต่มีขนาดและความสำคัญน้อยกว่าฝั่งธนบุรี พร้อมสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมาใหม่ โดยมีพื้นที่บริเวณทางฟากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นศูนย์กลางแห่งราชธานีของพระองค์นั่นเอง

 

การสร้างวัดสุทัศน์ โดยการการถมหนองบึงเดิมให้เป็นแผ่นดินนั้น ส่วนหนึ่งจึงเป็นการขยายเมืองให้กว้างใหญ่ และพร้อมกันนั้นรัชกาลที่ 1 ก็ยังได้ให้ชลอ “พระศรีศากยมุนี” พระพุทธรูปประธานในพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย มาประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารของวัดสุทัศน์ ซึ่งเป็นอาคารประธานของวัดแห่งนี้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

เพราะพระศรีศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปสำคัญของสุโขทัย ดังจะเห็นได้ว่าเป็นพระพุทธรูปประธานภายในพระวิหาร วัดมหาธาตุ ที่สร้างขึ้นในช่วงระหว่างเรือน พ.ศ. 19000-2000 โดยวัดแห่งนี้ถือเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของสุโขทัย ตามคติการสร้างมหาธาตุประจำเมือง สอดคล้องกันกับที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงอ้างสิทธิธรรมโดยถือพระองค์ว่าสืบสายขัตติยะมาจากสายราชวงศ์สุโขทัย ดังมีข้อมูลบางแห่งระบุว่า สายราชวงศ์จักรีนั้นสืบสายเลือดมาจากเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเอกาทศรถ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา แห่งราชวงศ์พระร่วง

การชลอพระศรีศากยมุนีมาประดิษฐานยังวัดสุทัศน์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการสืบสานความศักดิ์สิทธิ์จากสุโขทัยมายังกรุงเทพฯ นั่นแหละครับ

 

แต่ชื่อ “พระศรีศากยมุนี” ไม่ใช่ชื่อเดิมของพระพุทธรูปองค์นี้ เพราะเป็นชื่อที่รัชกาลที่ 4 พระราชทานให้ เช่นเดียวกับชื่อวัดสุทัศน์ ก็เป็นชื่อที่รัชกาลที่ 3 พระราชทานให้แทนชื่อเดิมคือ “วัดมหาสุทธาวาส” ที่รัชกาลที่ 1 เป็นผู้พระราชทานนามของวัดเอาไว้แต่เดิม

อนึ่ง ในพงศาวดารฉบับเจ้าทิพากรวงศ์ระบุว่า รัชกาลที่ 3 พระราชทานนามให้วัดแห่งนี้ว่า “วัดสุทัศนเทพธาราม” แล้วรัชกาลที่ 4 ค่อยพระราชทานนามใหม่เป็น “วัดสุทัศนเทพวราราม” อย่างที่ใช้มาจนปัจจุบันนี้

คำว่า “สุทัศน์” ในชื่อของวัดที่รัชกาลที่ 3 พระราชทานให้ใหม่นี้ ตามปรัมปราคติในพุทธศาสนาเป็นชื่อ “เมืองของพระอินทร์” ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ จึงหมายความถึง สวรรค์ของเหล่าเทพ โดยสอดคล้องกับชื่อ “กรุงเทพมหานคร” ซึ่งหมายถึง เมืองของเทวดา ไม่แตกต่างกัน

และจึงไม่แปลกอะไรที่ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ภายในวัดที่ถูกวางแผนผัง และสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในวัดแห่งนี้ โดยมี “พระวิหาร” เป็นอาคารประธานของวัด ที่จำลองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่ตั้งของ “สุทัศนนคร” บนเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามปรัมปราคติของศาสนาพุทธ มีพระอินทร์ เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดับอยู่ภายในหน้าบันทางทิศตะวันออกของอาคารหลังนี้ ซึ่งใช้เป็นอาคารประธานของวัดเพื่อตอกย้ำการจำลองศูนย์กลางจักรวาลตามอย่างปรัมปราคติที่ว่านี้ด้วย (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่มีการสร้างหน้าบันรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ซ้อนทับอยู่ทางด้านหน้าของหน้าบันรูปพระอินทร์นี้อีกทอดหนึ่ง)

ดังนั้น การที่รัชกาลที่ 3 ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้เสียใหม่ว่า วัดสุทัศนเทพธาราม นั้นจึงมีนัยยะที่สำคัญ และตอกย้ำการสร้างจักรวาลวิทยาทางปรัมปราคติที่วัดแห่งนี้และบริเวณโดยรอบมากยิ่งขึ้น

ที่สำคัญก็คือ ภายในพระวิหาร ยังมีพระพุทธรูปประธานคือ พระศรีศากยมุนี ที่สร้างความสืบเนื่องอันศักดิ์สิทธิ์ และสิทธิธรรมของกษัตริย์ เนื่องจากราชวงศ์จักรีอ้างสิทธิธรรมในการปกครองมาจากวงศ์สุโขทัย

การอัญเชิญพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสุโขทัยมาประดิษฐานยังวัดสำคัญที่ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของความเป็นเมืองกรุงเทพฯ จึงเป็นการถ่ายโอนความศักดิ์สิทธิ์จากสุโขทัยมายังกรุงเทพฯ ด้วย ทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงจักรวาลวิทยาระหว่างความเป็นกรุงเทพฯ และสุโขทัยเข้าหากัน

พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

น่าสนใจด้วยนะครับว่า ที่บริเวณด้านหลังฐานชุกชีของพระศรีศากยมุนี ยังประดับไว้ด้วย แผ่นหินสลักรูปพุทธประวัติตอนยมกปาฏิหาริย์ และตอนเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พุทธประวัติทั้งสอนตอนดังกล่าวนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์บนต้นมะม่วงเพื่อปราบพวกเดียรถีย์ (อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป) ก่อนที่จะเสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อในทันที ซึ่งก็ดูจะรับกันดีกับการจำลองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่พระวิหาร และการจำลองชมพูทวีปที่พระอุโบสถที่วัดแห่งนี้ (ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปข้างหน้า)

โดยเฉพาะเมื่อแผ่นหินที่จำหลักรูปพุทธประวัติทั้งสองตอนดังกล่าวเอาไว้บนแผ่นเดียวกันนั้น เป็นของเก่าที่มีมาก่อนการสร้างวัดสุทัศน์ไปนับพันปี เพราะเป็นฝีมือช่างแบบทวารวดี ดังนั้นจึงเป็นของที่ถูกเลือกมาใช้ประดับอยู่ที่ฐานชุกชีแห่งนี้อย่างมีนัยยะสำคัญในเชิงสัญลักษณ์

 

แน่นอนว่า สถาปัตยกรรมอื่นๆ ภายในวัดล้วนสร้างขึ้นด้วยสอดคล้องกับโลกสัณฐานตามปรัมปราคติของพุทธศาสนาเถรวาทเหมือนกับพระวิหารเช่นกัน โดยมีตัวอย่าง ที่สำคัญคือ “พระอุโบสถ” สร้างอยู่ทางด้านทิศใต้ของ “พระวิหาร” ต้องตรงกับปรัมปราคติในพุทธศาสนาที่ “ชมพูทวีป” ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ “เขาพระสุเมรุ”

พระอุโบสถ ยังมีลักษณะพิเศษคือ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับทำพิธีอุปัชฌาย์เป็นการเฉพาะ โดยตามความเชื่อในพุทธศาสนาเถรวาท พระพุทธเจ้าจะประสูติอยู่เฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น ดังนั้นการสร้างพระอุโบสถโดยการจำลองชมพูทวีป จึงเป็นการจำลองเอาความศักดิ์สิทธิ์ของชมพูทวีปมาประดิษฐานไว้อยู่ที่กรุงเทพฯ อีกด้วย

นอกจากนี้ โดยรอบของวัดยังมีการจำลอง “สัตตมหาสถาน” คือสถานที่สำคัญ 7 แห่งที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขติดต่อกันเจ็ดสัปดาห์หลังการตรัสรู้ อันประกอบไปด้วย

สัปดาห์ที่ 1 เรียกว่า “โพธิบัลลังก์” หมายถึงร่มพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเสวยวิมุตติสุขด้วยการบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 7 วัน

สัปดาห์ที่ 2 “อนิมิสเจดีย์” คือสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยืนถวายเนตร จ้องต้นโพธิ์ที่ประทับระหว่างการตรัสรู้โดยไม่กระพริบพระเนตรตลอด 7 วัน

สัปดาห์ที่ 3 “รัตนจงกรมเจดีย์” คือสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเนรมิตสถานที่สำหรับจงกรมระหว่างสถานที่ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ กับสถานที่ยืนถวายเนตร แล้วเสด็จจงกรมอยู่ที่นั่นเป็นเวลาอีก 7 วัน

สัปดาห์ที่ 4 “รัตนฆรเจดีย์” สถานที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นโพธิ์ตรัสรู้ ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเรือนแก้ว ซึ่งเทวดาเนรมิตให้ 7 วัน

สัปดาห์ที่ 5 “อชปาลนิโครธ” คือต้นไทรของคนเลี้ยงแพะ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเนรัญชราไปเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน โดยในสถานที่แห่งนี้ ธิดาพระยามารทั้ง 3 ได้แก่ นางราคะ, นางอรดี และนางตัณหา ได้อาสาบิดาของตนคือ วสวตีมาร มายั่วยวนพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

สัปดาห์ที่ 6 “มุจลินท์” คือต้นมุจลินท์ (ไม้จิก) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้าไปเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน ที่ใกล้ไม้จิกนั้นมีสระน้ำชื่อสระมุจลินท์ ในระหว่างพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่นั่นมีฝนตกพรำอยู่ตลอด พญานาคมุจลินท์ที่อาศัยอยู่ในสระน้ำนั้นจึงมาขนดกายกำบังฝนให้หับพระพุทธเจ้า จนเป็นที่มาของพระพุทธรูปปางนาคปรก

และสัปดาห์ที่ 7 อันเป็นสัปดาห์สุดท้ายคือ “ราชายตนะ” เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขใต้ร่มไม้เกด ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำเนรัญชราไปทางทิศตะวันตก อันเป็นสถานที่ซึ่งพ่อค้าเกวียนชื่อ ตปุสสะ กับภัลลิกะ ถวายข้าวสัตตูก้อน และสัตตูผงให้กับพระพุทธองค์

แน่นอนว่า การจำลองสัตตมหาสถาน อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในชมพูทวีป และชาวพุทธใช้ในการแสวงบุญเอาไว้ภายในเขตวัด ในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ ยิ่งตอกย้ำถึงการจำลองความศักดิ์สิทธิ์ของชมพูทวีปตามคติในพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น

การจำลองจักรวาลตามปรัมปราคติในพุทธศาสนา ทั้งเขาพระสุเมรุ ชมพูทวีป และสัตตมหาสถาน ที่วัดแห่งนี้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการที่รัชกาลที่ 3 เปลี่ยนชื่อวัดจาก วัดมหาสุทธาวาส เป็นวัดสุทัศนเทพธาราม นั่นเอง •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ