ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
หนังสร้างจากหนังสือขายดีของคอลลีน ฮูเวอร์ ที่ออกวางตลาดเมื่อ ค.ศ.2016 ซึ่งเป็นนวนิยายรักโรแมนติกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันรุนแรงในครอบครัว และเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะจากเนื้อหาและประเด็นทางสังคม
ครั้นมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2024 กว่าจะออกฉายได้หนังก็เกิดดรามาใหญ่โตออกสื่อ โดยเป็นข่าวฉาวโฉ่กรณีการงัดข้อระหว่างผู้กำกับฯ-นักแสดงนำชาย จัสติน บัลโดนี กับผู้อำนวยการสร้าง-นักแสดงนำหญิง เบลค ไลฟ์ลี่ ซึ่งกลายเป็นคดีฟ้องร้องกันอุตลุด
เผอิญไม่ได้ติดตามข่าวโดยละเอียด เลยรู้แต่เพียงผิวเผินกระเซ็นกระสาย
ไม่รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนประชาสัมพันธ์แบบเชิงลบ เพื่อให้เป็นข่าวอื้อฉาวให้เป็นหัวข้อสนทนานินทากาเลเหมือนเทน้ำกันหรือเปล่าก็ยากจะคาดเดาหรือหาข้อสรุป
ข่าวคนในวงการทะเลาะหรือด่าทอหรือฟ้องร้องกันมักตกเป็นขี้ปากชาวบ้านและแพร่กระจายได้ดีกว่าข่าวความปรองดองสมัครสมานสามัคคีกัน
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้หนังออกจากโรงมาฉายให้สตรีมกันทางเน็ตฟลิกซ์ได้แล้ว หลังจากทำรายได้ทางบ็อกซ์ออฟฟิศไปมากพอดู
ผู้เขียนยังไม่ได้อ่านหนังสือต้นเรื่อง เลยไม่ต้องผิดหวัง หรือสมหวัง หรือเกิดอคติปรุงแต่งจิตให้เอาหนังสือมาเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ให้มากความไป
ลิลี่ บลูม (เบลค ไลฟ์ลี่) เดินทางกลับบ้านที่รัฐเมน เพื่อไปงานศพพ่อ หลังจากที่ไม่ได้เหยียบย่างไปหาเป็นเวลานานหลายปี
ลิลี่ได้รับมอบหมายให้กล่าวคำไว้อาลัยในพิธี และแม่แนะนำให้นึกถึงอะไรสักห้าอย่างที่เธอรักเกี่ยวกับพ่อ
ปรากฏว่าเมื่อออกไปยืนที่แท่นพิธีต่อหน้าแขกเหรื่อ ลิลี่พูดอะไรไม่ออกเลย และวิ่งลงจากแท่นปาฐกถาไปดื้อๆ
ลิลี่ตั้งคำถามกับแม่ว่าทำไมยังทนอยู่กับพ่อมาตลอด ทั้งๆ ที่ต้องทนกับการทำร้ายร่างกายจากสามีที่อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง
และทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเธอต้องหวั่นวิตกอยู่กับความรุนแรงในครอบครัว
ลิลี่ทิ้งบ้านไปตั้งต้นชีวิตใหม่โดยเปิดร้านขายดอกไม้ในบอสตัน
เธอได้เจอกับชายหนุ่มในฝัน ไรล์ คินเคด (จัสติน บัลโดนี) โดยบังเอิญบนดาดฟ้าตึก ไรล์เอาความเครียดจากชีวิตการทำงานมาลงที่วัตถุไร้ชีวิต คือโต๊ะ เก้าอี้ โดยควบคุมอารมณ์ไม่ได้ดังใจไว้ไม่อยู่
เขาบอกว่าเขาเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ซึ่งตอนแรกลิลี่ก็นึกว่าเขาพูดเล่น แต่ก็ปรากฏว่าเขาได้รับโทรศัพท์เรียกไปเข้าห้องผ่าตัดกลางคัน ความสัมพันธ์จึงขาดสะบั้นอยู่ตรงนั้นเอง
ช็อตต่อมาคืออลิสสา (เจนนี่ สเลต) ลูกจ้างในร้านดอกไม้ ซึ่งกลายเป็นเพื่อนรักของลิลี พาสามีและพี่ชายมาให้ลิลี่รู้จัก และปรากฏว่าพี่ชายของอลิสสา คือ ไรล์ คินเคด นั่นเอง
ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวเริ่มงอกงามผลิบานอย่างห้ามไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ทั้งนี้หนังเดินเรื่องช่วงนี้คู่ขนานไปกับอดีตในรูปของแฟลชแบ็กสมัยลิลี่ยังเป็นสาวรุ่นกับรักครั้งแรกของเธอ ซึ่งจบลงแบบไม่สวยเลยด้วยฝีมือของพ่อผู้มีโทสะรุนแรง
เมื่อลิลี่กับไรล์ไปกินอาหารในร้านหรู ก็ได้เจอกับแอตลาส คอร์ริแกน (แบรนดอน สเคลเนอร์) แฟนเก่าของลิลี่ ซึ่งเป็นเชฟและเจ้าของร้าน
ถ่านไฟเก่าจะคุขึ้นหรือไม่อย่างไรนั้น ก็ไม่เล่าต่อละ เพียงแต่ถึงตอนนี้ก็พอรู้เค้าแล้วละว่าระหว่างหมอผ่าตัดสมองกับเชฟ ใครจะมีภาษีดีกว่ากัน
ลิลี่เจอเข้ากับวงจรอุบาทว์ในชีวิตอีกครั้ง เพราะคนที่เธอรักและเลือกเป็นคู่ชีวิต ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนครองคู่อยู่ด้วยกัน เขามีอารมณ์แปรปรวนและควบคุมตัวเองไม่อยู่
หนังแสดงให้เห็นว่าการทำร้ายนั้นอาจเกิดขึ้นอย่างแนบเนียนและกลบเกลื่อนจนผู้ถูกทำร้ายไม่รู้ตัวว่าเป็นการทำร้ายโดยตรง และกว่าจะรู้เข้าจริงๆ ก็เกือบสายเสียแล้ว
ลิลี่เริ่มเกิดความเข้าใจในตัวแม่ของเธอมากขึ้น เข้าใจจิตวิทยาของผู้หญิงที่ยอมหวานอมขมกลืนทนรองรับความรุนแรงในครัวเรือน
ในที่สุด เธอจึงตัดสินใจยุติวงจรอุบาทว์นี้เสียให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ต้องเวียนวนทนเจ็บตัวเจ็บช้ำ แถมปล่อยให้เป็นแผลฉกาจฉกรรจ์ในใจลูกซึ่งต้องโตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศอันเป็นพิษแบบนี้
ด้วยเหตุฉะนี้ หนังจึงใช้ชื่อที่แปลได้ประมาณว่า “ให้มันจบลงตรงเราเสียเถอะ”
ออกจะเป็นหนังรักโรแมนติกที่ไม่ได้ลงเอยแบบหวานแหววตามฟอร์ม แต่หนังนำเสนอประเด็นที่เป็นปัญหาในสังคมซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในครอบครัวจำนวนมาก
สังคมโบราณอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาในครอบครัวที่ต้องมีกระทบกระทั่งกัน
แต่สังคมสมัยใหม่ที่ให้ความเสมอภาคระหว่างชายหญิง เรื่องแบบนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเพิกเฉยอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น “สาร” ที่หนัง-นิยายสื่อแบบตอกย้ำก็คือ “มันจบลงกับเรา” นี่แหละ
แต่หนังก็ยังคงยืนฟอร์มความเป็นหนังรักหวานแหววแบบโรแมนติกคอเมดี้อยู่ดีแหละ เพราะนางเอกยังมีชายในดวงใจอีกคนเป็นตัวสำรองไว้ให้เป็นแฮปปี้เอนดิ้งตามสูตรสำเร็จ
นางเอกสุดสวย โดยคงความเป็นเบลค ไลฟ์ลี่แสนสวยไว้ทุกกระเบียด
แถมยังนิสัยดี จิตใจงาม คงความเป็นนางเอ้ก-นางเอกไว้ทุกประการไม่ขาดตกบกพร่อง
เสื้อผ้าหน้าผมเริ่ดสะแมนแตน สวยเฉิดฉายจับตาไปเสียแทบทุกฉ็อตทุกมุม เรือนผมสยายยาวสะบัดปลายสุดเซ็กซี่ แถมด้วยรองเท้าหรูระยับ อะไรกันจะเป็นนางเอกซะปานนั้น
ตัวละครจึงออกจะผิวเผินและเป็นด้านเดียว
ตัวเอกชายก็หายหน้าไปในตอนท้าย ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลทางด้านเทคนิคจากความขัดแย้งในกองถ่ายก็ไม่ทราบได้ละ
ตัวละครที่น่ารำคาญที่สุดคือเพื่อนนางเอก ดูซื่อบื้อไร้เดียงสาน่ารำคาญพิลึก และไม่ได้ให้อะไรแก่พัฒนาการของเรื่องเลย
ถ้าหนังลงลึกในด้านตัวละครและการพัฒนาตัวละครอีกสักหน่อย ก็น่าจะให้ประเด็นที่มีน้ำหนักยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อีกเยอะ
หนังเสนอให้เห็นว่าความรุนแรงในครอบครัวนั้นอาจจะแฝงอยู่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ หรือเมื่อออกปากขอโทษแล้ว ก็กลับคืนดีกันเหมือนเดิม
แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ก็จะกลายเป็นแพตเทิร์นในชีวิตครอบครัวไปจนยากจะถอนตัว
นอกจากความรุนแรงทางกายภาพแล้ว ความรุนแรงในครอบครัวยังรวมไปถึงความบีบคั้นทางจิตใจ/อารมณ์ (emotional abuse) อีกด้วย
เท่าที่ทราบ คอลลีน ฮูเวอร์ ยังเขียนนิยายอีกเล่มเป็นภาคสอง ต่อจาก It Ends With Us ซึ่งตั้งชื่อล้อกันว่า It Starts With Us
แฟนหนังคงต้องคอยติดตามกันเองละว่าภาคสองจะออกมาเมื่อไหร่ มีแต่ข่าวว่าผู้กำกับฯ จัสติน บัลโดนี ประกาศว่าเขาจะไม่กำกับฯ ภาคสองแล้วล่ะ แต่จะให้เบลค ไลฟ์ลีย์ เป็นผู้กำกับฯ ไปเลย… •
IT ENDS WITH US
กำกับการแสดง
Justin Baldoni
นำแสดง
Blake Lively
Justin Baldoni
Brandon Sklenar
Jenny Slate
ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022