ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว |
ผู้เขียน | มุกดา สุวรรณชาติ |
เผยแพร่ |
120 ปีการเกณฑ์ทหาร
ต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย
เดิมการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะด้านการเกณฑ์ทหาร แต่ว่าพลเมืองทั้งหลายจะอยู่ภายใต้สังกัดเจ้าขุนมูลนาย
การดำรงฐานะไพร่ในเจ้าขุนมูลนายนี้ทำให้สามารถถูกระดมเวลาต้องการทหารหรือการใช้แรงงาน ดังนั้น จึงมีกฎเกณฑ์ในยุคเก่าให้ประชาชนต้องทำงานใช้แรงงานให้กับรัฐ เช่น ปีละ 2 เดือนหรือ 1 เดือน ต่อมาก็มีการผ่อนผันว่าถ้าใครไม่อยากไปใช้แรงงานก็สามารถจ่ายเงินทดแทนได้
จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ.2446 มีความจำเป็นต้องใช้กำลังทหาร รัฐไทยจึงออกกฎหมายเกณฑ์ทหารขึ้นในระดับมณฑลในปี 2448 จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายจนไปทั่วประเทศในปี 2459 และก็มีการเกณฑ์ทหารต่อเนื่องเรื่อยมา
ส่วนข้อยกเว้นเรื่องใครมีสิทธิไม่ต้องเกณฑ์ทหารนั้นก็มีการเสนอเป็นกฎหมายในระยะเวลาต่อมา
แต่ปัจจุบัน การคัดเลือกทหารต้องเหมาะสมกับการปรับกองทัพให้ทันสมัย
ให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ ด้านหลักคือการป้องกันประเทศ ซึ่งรูปแบบการรบได้เปลี่ยนไปมาก
ด้านรองคือภาระหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชายแดน เช่น การป้องกันยาเสพติด การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามแดน
เพราะไทยมีพรมแดนติดต่อกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางประมาณ 5,650 ก.ม. คือพม่า 2,400 ก.ม. ลาว 1,800 ก.ม. กัมพูชา 800 ก.ม. มาเลเซีย 650 ก.ม. ไม่นับชายฝั่งและเขตทับซ้อนทางทะเล
รูปแบบสงครามได้เปลี่ยนไปแล้ว
สงครามสมัยใหม่ไม่ได้ต่อสู้กันด้วยอาวุธอย่างเดียว เพราะเป้าหมายในการสงครามไม่ได้มีเพียงแค่ยึดดินแดน หรือทำลายล้างศัตรูอีกชนชาติหนึ่ง
แต่เป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันหรือแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้น จึงเกิดสงครามทางการค้า สงครามทางการเงิน และสงครามที่ผ่านการสื่อสารด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะใน 10 ปีหลังนี้ สิ่งเหล่านี้ได้ดำเนินมาตลอดและสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนของแต่ละชาติใหญ่ เบื้องหลังของสงคราม แต่ละจุดก็มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ ตั้งแต่ทรัพยากรในบริเวณนั้นหรือความสำคัญทางยุทธศาสตร์ มีจุดสำคัญที่ควบคุมเส้นทาง การขนส่งระดับโลก หรือภูมิภาค
สงครามที่ใช้อาวุธต่อสู้กันก็มีรูปแบบยุทธวิธีที่แตกต่างจากเดิม ตัวอย่างเช่น สงครามในยูเครน จะเห็นว่าการใช้จรวดและ Drone เริ่มกลายเป็นการรบหลัก
การใช้รถถัง รถยานเกราะ หรือเรือขนาดใหญ่ กลายเป็นเป้า ให้ถูกทำลายด้วยอาวุธสมัยใหม่อย่างง่ายๆ
ทหารราบที่ตามเข้าไปในเขตพื้นที่สู้รบก็ถูกทำลาย ด้วยอาวุธสมัยใหม่และกับดักต่างๆ
และอีกไม่เกิน 5 ปี รูปแบบของสงครามที่เคยเกิดขึ้นแบบสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะเป็นสิ่งล้าสมัย
กระทรวงกลาโหมเองจะต้องมีแนวทางการปรับปรุงกองทัพให้เป็นกองทัพสมัยใหม่ ซึ่งจะต้องมีแนวทางขั้นตอนทั้งการฝึกกำลังคนและการซื้ออาวุธ ซึ่งต้องใช้เวลา จึงต้องรีบดำเนินการ
กำลังพลจะไม่ใช่สิ่งชี้ขาดว่ามีมากกว่าแล้วจะได้รับชัยชนะ แต่การมีอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพสูง จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
แต่นั่นหมายถึง ชีวิตของผู้คนจะต้องล้มตายมากขึ้น ความเสียหายจะมากขึ้นหลายเท่า
ต้องปรับวิธีการคัดเลือกทหาร
การเกณฑ์ทหารเดิมกำหนดให้ชายไทยต้องผ่านการเกณฑ์ และได้รับการฝึกและประจำการอยู่ประมาณ 2 ปี
การฝึกอาวุธและความรู้ต่างๆ ก็เป็นไปตามสภาพสังคมในยุคนั้นๆ ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะมีทั้งคนที่ไม่รู้หนังสือเลยหรือจบชั้นประถม 4 จำนวนมาก ต่อมาความรู้ของผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทหารก็มีมากขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็เหมาะสมกับสภาพการทำสงครามในยุคนั้นๆ ซึ่งจะใช้อาวุธสงครามเป็นแบบพื้นฐานทั่วไปซึ่งแม้พัฒนาแล้วก็ยังเป็นรูปแบบของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
แต่ถ้ามองดูรูปแบบสงครามในยุคปัจจุบันจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ถ้ามีสงครามระหว่างประเทศ รูปแบบของสงครามอาจจะเน้นไปที่อาวุธสมัยใหม่ซึ่งต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น แนวทางนโยบายในเรื่องนี้จึงควรมีจุดมุ่งหมายที่ให้การคัดเลือกผู้ที่จะเป็นทหาร เริ่มจากการสมัครใจ และเป็นด่านแรกในการคัดกรองผู้มีความตั้งใจต้องการจะเป็นทหารอาชีพ ซึ่งจะมีผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้รับราชการทหาร และเรียนต่อเฉพาะทาง ตามความถนัดและความสามารถ
นั่นหมายถึงว่าผู้ที่เข้าไปสมัครรับการคัดเลือก จะต้องมีความเหมาะสมทั้งร่างกาย จิตใจ ความรู้ความสามารถ จึงจะเข้าไปทำหน้าที่นี้ได้ เพราะในยุคใหม่นี้อาวุธที่ใช้มิได้เป็นเพียงอาวุธปืนเล็กธรรมดา แต่บางครั้งอาวุธนั้นสามารถจะสร้างพื้นที่ทำลายมากมายมหาศาล ทำให้คนเสียชีวิตเป็นพันเป็นหมื่นได้
ต้องมีระบบคัดกรองทหาร ทั้งความรู้ และจิตใจ
ผลกระทบและผลประโยชน์ของประชาชน
ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วที่การเกณฑ์ทหารทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานช่างฝีมือ การเกณฑ์ทหารในยุคปัจจุบัน ก็มีผลต่อการผลิตการค้า การทำธุรกิจต่างๆ ในระดับประเทศ
เมื่อสมัครเข้าไปเป็นทหารก็ต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า นับตั้งแต่วันที่เริ่มเข้าไป เพราะทุกคนที่สมัครทหารอยู่ในวัยที่ใช้แรงงานสามารถสร้างผลประโยชน์ตอบแทนให้กับครอบครัวได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้น ค่าตอบแทนของเขาก็ควรไม่น้อยกว่าค่าแรงที่คนธรรมดาควรได้รับ เพื่อส่งกลับไปให้ลูกเมีย พ่อแม่ ตัวเองได้ใช้จ่ายตามเหมาะสม
คนที่เข้ามาสมัครเป็นทหารควรจะมีแนวทางในอนาคต หมายถึงว่าเขาจะได้รับความรู้เพิ่มเติม ผ่านการเรียนการฝึก ทั้งแบบทั่วไปและแบบพิเศษ เพื่อให้มีผลไม่ว่าเขาจะออกไปจากองค์การทหารก็สามารถประกอบอาชีพได้ หรือถ้าหากอยู่ต่อก็ต้องสามารถพัฒนาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญได้
ดังนั้น เขาควรมีสิทธิที่จะได้เรียนต่อและได้เลื่อนขั้นขึ้นจากพลทหารไปเรียนนายสิบไปเป็นนายร้อยนายพัน ทำให้มองเห็นอนาคต
การที่ไม่บังคับเกณฑ์ทหาร จะทำให้คนวัยที่เพิ่งจะเริ่มทำงานในอาชีพต่างๆ ไม่ต้องละทิ้งอาชีพ ไปถึง 2 ปี ซึ่งอาจไม่ได้กลับมาทำอีก จุดนี้ทำให้ไม่ไปกระทบการผลิต และการค้าขาย
ผลในทางเศรษฐกิจ เงินค่าตอบแทนที่ให้ผู้สมัครใจ ก็จะกระจายลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ระดับล่าง เพราะส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวเกษตรกร และผู้ใช้แรงงาน
การปรับกฎเกณฑ์
ให้เข้ากับสถานการณ์และงบประมาณ
ถ้าผู้สมัครมีมากกว่าที่ต้องการ ก็จะต้องผ่านการคัดเลือกด้วยการสอบอย่างยุติธรรม
การสมัครในพื้นที่ต่างๆ แม้มีคนสมัครไม่เท่ากัน บางแห่งอาจจะไม่พอตามที่ต้องการ แต่บางแห่งอาจจะล้นเกิน ควรจะออกกฎให้สามารถโยกย้ายจากเขตที่เกิน ไปเขตที่ขาด ได้ตามความเหมาะสม แบบที่ รมว.กลาโหมเสนอให้เลือกเขตได้ ก็น่าจะใช้ได้ดี
การใช้นโยบายนี้ในปีแรกอาจจะยังไม่มีความจำเป็นจะต้องลดจำนวนกำลังพล แต่ที่น่าจะทำก็คือลดจำนวนวันที่ประจำการ เพราะความเป็นจริงในการฝึกนั้นใช้ระยะเวลาจริงๆ ไม่เกิน 4 เดือน ดังนั้น ผู้ที่ผ่านเข้ามาเป็นทหารสามารถจะประจำการรวมทั้งฝึกอยู่เพียง 1 ปี 6 เดือน ก็น่าจะพอเพียง พวกที่อยู่ต่อคือต้องการเป็นทหารอาชีพ
ถ้าทำแบบนี้จะลดงบประมาณได้มาก นำไปเพิ่มสวัสดิการ และค่าใช้จ่ายในการฝึกเฉพาะทาง
การจัดวงรอบการประจำการก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายประจำแต่ละหน่วยงานจะต้องคิดวงรอบให้ครบพอดีสำหรับทหารที่จะเข้าในแต่ละผลัด
เรื่องระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลง นโยบายนี้ ควรจะเริ่มตั้งแต่การเกณฑ์ทหารในปี 2568 นี้ แต่ทำอย่างไรจึงจะมีคนมาสมัครเกือบครบหรือครบด้วยแรงจูงใจต่างๆ เช่น ค่าตอบแทน
แต่ไม่ควรทำตรงข้ามคือไปเก็บเงินกับผู้ที่ไม่อยากเป็น ปัจจุบันพลเมืองเป็นเสรีชน ไม่ใช่ไพร่สังกัดมูลนาย ทำแบบนั้นจะย้อนเวลากลับไปถึง 100 ปี
ในทางการเมือง ถ้าพรรคการเมืองใดทำได้สำเร็จ ถึงจุดที่มีคนมาสมัครมากจนต้องสอบแข่ง ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ และได้ชื่อเสียงไปยาวนาน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022