ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | การศึกษา |
เผยแพร่ |
การเดินหน้าแก้ปัญหา “เด็กหลุดจากระบบการศึกษา” ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
จากการสำรวจล่าสุด พบว่า มีเด็กนอกระบบการศึกษาวัยเรียน อายุ 3-18 ปี จำนวน 1,025,514 คน แบ่งเป็น เด็กไทย 767,304 คน และเด็กต่างชาติ 258,210 คน เด็กไทยติดตามได้ 365,231 คน หรือคิดเป็น 47.60% ขณะที่ยังติดตามไม่ได้ 402,073 คน หรือคิดเป็น 52.40% เด็กต่างชาติ ติดตามได้ 31,816 คน หรือคิดเป็น 12.32% และยังติดตามไม่ได้ 226,394 คน หรือคิดเป็น 87.68%
พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ระบุว่า ที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ศธ.ได้ขับเคลื่อนนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่อดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เช่น โครงการ 1 โรงเรียน 3 ระบบ ประกอบด้วย การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเหมาะสม
“เน้นกระบวนการ 4 ด้าน ได้แก่ ป้องกัน, แก้ไข, ส่งต่อ และติดตามดูแล เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบอีกครั้ง โดยเน้นย้ำว่าเด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ” พล.ต.อ.เพิ่มพูนกล่าว
สําหรับทิศทางการติดตามเด็กหลุดระบบให้กลับเข้าเรียนในปี 2567 นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สนผ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยได้นำตัวเลขเด็กทั้งหมดจากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา 1,025,514 คน และเทียบกับข้อมูลนักเรียนที่อยู่ในสังกัด ศธ.พบว่า มีประมาณ 616,000 คน ดังนั้น ศธ.จะยึดฐานข้อมูลนี้เป็นหลักในการดำเนินการ
โดย สพฐ.มีนโยบายหลักในการขับเคลื่อน คือ พาน้องกลับมาเรียน นําการเรียนไปให้น้อง หรือ OBEC Zero Dropout มีเป้าหมายหลักคือ การเร่งติดตามนักเรียนที่หลุดออกจากระบบกลับเข้าสู่ระบบ ถ้านักเรียนประสงค์อยากจะกลับเข้าสู่ระบบก็เร่งดำเนินการให้กลับเข้ามาทันที
แต่ถ้านักเรียนกลุ่มใดประสงค์อยากเรียน แต่ไม่สามารถกลับเข้ามาเรียนในโรงเรียนได้ สพฐ.จะมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น เหมาะสมกับวิถีชีวิตของนักเรียนกลุ่มนั้น
จากการสำรวจของ สนผ.พบปัจจัยที่ทำให้เด็กไม่สามารถกลับเข้ามาเรียนได้ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวเด็ก และปัจจัยทางสังคมต่างๆ เช่น การตั้งครรภ์ ปัญหายาเสพติด เป็นต้น
ทำให้ สนผ.นำปัจจัยเหล่านี้มาออกแบบเป็นนโยบายที่มีความตอบโจทย์ต่อนักเรียนกลุ่มนี้ ควบคู่ไปกับกลุ่มหลัก
ล่าสุด ติดตามเด็กได้กว่า 200,000 คน จากสังกัด ศธ.ที่หลุดระบบทั้งหมด 616,000 คน และนำกลับเข้าสู่ระบบแล้วเกือบ 100,000 คน แต่สิ่งที่ สพฐ.ค้นพบอีกอย่างคือ มีเด็กที่ไม่ประสงค์กลับเข้าเรียนในโรงเรียนจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาทางสังคม
ดังนั้น แนวทางการ “นำการเรียนไปให้น้อง” จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้นักเรียนทุกคนได้รับความรู้
“หลายเขตพื้นที่ฯ ติดตามนักเรียนในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองได้ครบ 100% เช่น สำนักเขตพื้นที่ประถมศึกษา (สพป.) สิงห์บุรี สพป.บุรีรัมย์ เขต 2 และ สพป.อุทัยธานี เขต 1 เป็นต้น ซึ่ง สพฐ.ได้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำมาสรุป และแจ้งต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ.รับทราบ และเดินหน้าค้นหาเด็กกลับเข้าเรียนต่อเนื่องในปี 2568” นายนิยมกล่าว
ซึ่งปี 2568 สพฐ.จะเดินหน้าขับเคลื่อนให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษา เร่งติดตามเด็กทุกคนในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองให้ครบ 100% และนำกลับเข้าสู่ระบบให้ได้มากที่สุด จากที่ขณะนี้มีปัญหาเรื่องการติดตามเด็กได้ แต่ดึงเด็กกลับเข้าเรียนได้ไม่ถึง 50%
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล ได้ประกาศนโยบาย Thailand Zero Dropout ตั้งแต่ช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และยังคงเดินหน้าต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ
ต่อมาเดือนตุลาคม 2567 น.ส.แพทองธารมีคำสั่งตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ” หรือ คกศ. มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกรรมการ
เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบให้ได้รับการศึกษา พัฒนาศักยภาพตามความถนัด แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รองรับนโยบาย “ปฏิรูปการศึกษา” ของรัฐบาล และให้ความสำคัญกับการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษา หรือพัฒนาศักยภาพตามความถนัดของผู้เรียน รวมถึงส่งเสริมการสร้างรายได้ระหว่างเรียน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
บวกกับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 มีมติรับทราบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ
ซึ่ง คกศ.มีหน้าที่กำกับดูแล พัฒนา และขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์ ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษา หรือพัฒนาศักยภาพตามความถนัดของผู้เรียน รวมถึงส่งเสริมการสร้างรายได้ระหว่างเรียนเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุน และผลักดันให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ตระหนัก ให้ความสำคัญ และบูรณาการการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์
นอกจากนี้ ยังให้ คกศ.หาความร่วมมือในการพัฒนาเครื่องมือกลไกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบฐานข้อมูลกลางสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนติดตาม ดูแล และป้องกัน ไม่ให้เด็กและเยาวชนอยู่นอกระบบการศึกษา โดย คกศ.ต้องกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และรายงานผลการดำเนินงานให้ ครม.ทราบ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ล่าสุด นายประเสริฐได้ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกมีมติผลักดัน 4 ประเด็นเร่งด่วน เพื่อยกระดับการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้ง 1.02 ล้านคน ให้เข้าถึงระบบการศึกษามากขึ้น โดยที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ บูรณาการการทำงานด้านข้อมูลร่วมกับหน่วยงานหลักต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งคณะกรรมการประจำจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ตั้งคณะอนุกรรมการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น และส่งเสริมการสร้างรายได้ของเด็กและเยาวชน และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชน ด้วยมาตรการ หรือกลไกทางภาษี เพื่อส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา หรือเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน หรือ Learn to Earn เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ใน 4 จังหวัดที่ขับเคลื่อนนโยบาย Thailand Zero Dropout ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ได้นำเด็กและเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ 1 ใน 3 โดย จ.นครราชสีมา พากลับ 10,325 คน คิดเป็น 35.7% ชัยภูมิ 3,518 คน คิดเป็น 34.4% บุรีรัมย์ 5,40 คน คิดเป็น 30.7% และสุรินทร์ 3,878 คน คิดเป็น 30.5%
ต้องติดตามว่า จังหวัดต่างๆ จะนำเด็กหลุดระบบ กลับเข้าห้องเรียนได้มากน้อยแค่ไหน!! •
| การศึกษา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022