ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
บางทีการดูฟุตบอลเพื่อความสนุกสนาน เราก็ได้ปรัชญาชีวิตเหมือนกัน
อย่างวันที่ทีมฟุตบอลไทยแข่งกับเวียดนามที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
ผมนั่งลุ้นอยู่หน้าจอโทรทัศน์
ทีมไทยไปเล่นแมตช์แรกที่เวียดนาม
แพ้ 1:0
กลับมาเล่นที่เมืองไทย เราต้องการชนะอย่างน้อย 1 ลูก เพื่อให้สกอร์เท่ากัน
แต่พอเล่นจริงๆ เวียดนามยิงนำไปก่อน 1:0
ไทยตีเสมอ 1:1
สกอร์รวมยังแพ้อยู่ 1 ลูก
มีจังหวะหนึ่งที่ผู้เล่นเวียดนามนอนเจ็บ ไม่รู้ว่าแกล้งเจ็บหรือเจ็บจริง
ผู้รักษาประตูเวียดนามรับบอลได้แล้วขว้างออกนอกสนาม
เป็นการขว้างบอลทิ้งเพื่อให้กรรมการมาดูอาการเพื่อนที่นอนเจ็บ
ในเกมฟุตบอล นี่คือ กลยุทธ์การถ่วงเวลารูปแบบหนึ่ง
หลังดูอาการคนเจ็บเสร็จ ทีมไทยเป็นฝ่ายทุ่ม
“สุภโชค สารชาติ” ได้บอล พลิกตัวยิงบอลโค้งเข้าประตูอย่างสวยงาม
นักเตะเวียดนามเข้ามารุมประท้วง เพราะตามมารยาทแล้ว ทีมไทยต้องทุ่มบอลคืนให้เวียดนาม
ไม่ใช่ฉวยโอกาสยิงประตู
“สุภโชค” อธิบายหลังจบเกมว่าจังหวะนั้นเขาไม่เห็นผู้รักษาประตูเวียดนามขว้างบอลออก เพราะกำลังประท้วงกรรมการที่ไม่เป่าฟาวล์จังหวะที่เขาโดนเสียบ
พอเพื่อนส่งบอลมาให้ก็เลยยิงประตูตามสัญชาตญาณ
เรื่องนี้พอมีเหตุผล
ตามกติกาแล้วทีมไทยไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่เรื่อง “น้ำใจนักกีฬา” ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กับชัยชนะในเกม
เรื่องนี้ยังมีคำถาม
วันนั้น ถ้าผู้จัดการทีมหรือเพื่อนนักเตะทีมชาติไทยคิดว่าลูกนี้ไม่ควรทำ
เขาสามารถเปิดทางให้เวียดนามยิงประตูคืนได้
แต่ไม่มีใครกล้าตัดสินใจทำ
วันนั้น ทีมไทยแพ้ไป 3:2
สกอร์รวมแพ้ 4:2
เวียดนามได้แชมป์
ทีมไทยพ่ายแพ้ทั้งในสนามและนอกสนาม
มีน้องคนหนึ่งพาลูกไปดูบอลนัดนี้
เขาเล่าว่าลูกถามว่าทำไมจังหวะนั้นทีมไทยไม่ส่งบอลคืนให้เวียดนาม
“เขาทำถูกต้องหรือเปล่าพ่อ”
เป็นคำถามชวนสะอึกสำหรับคนเป็นพ่อ
เพราะไม่รู้ว่าจะสอนลูกอย่างไรดี
ผมไม่เห็นด้วยกับการเล่นลูกนี้ของทีมชาติไทย
เพราะนึกง่ายๆ ว่าถ้าเวียดนามฉวยโอกาสแบบนี้กับไทยบ้าง
เราจะรู้สึกอย่างไร
จะคิดว่าเราพลาดเองที่ขว้างบอลทิ้ง
อยากถ่วงเวลาดีนักต้องโดนแบบนี้
หรือคิดแบบที่นักเตะเวียดนามคิดกับเรา
เรื่องแบบนี้ตัดสินใจไม่ยาก
แค่คิดแบบใจเขา-ใจเรา
หลังบอลจบ ผมกลับไปโพสต์ในเพจของตัวเอง
…ดูบอลไทย-เวียดนามจบ
ได้บทเรียนสอนตัวเอง
“อะไรที่ไม่ควรทำ”
ต่อให้ “ทำได้” ก็ “อย่าทำ”…
สารภาพว่าไม่กล้าโพสต์ตรงๆ ว่าไม่เห็นด้วยกับลูกยิงของ “สุภโชค”
เพราะกระแสรักชาติตอนนั้นแรงเหลือเกิน
กลัว “ทัวร์ลง” 555
แต่ผมได้หลักคิดจากเกมแบบนี้จริงๆ
เพราะผมเชื่อว่าชีวิตของเราจะมีจุดตัดสินใจแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ
มีบางเรื่องทำได้
แต่ไม่ควรทำ
หรือเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่า “ไม่ควรทำ”
ต่อให้ “ทำได้”
ก็ “อย่าทำ”
ผมมีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “กรอบที่ไม่มีเส้น”
ตามปกติทุกคนจะมี “กรอบ” ของตัวเองที่แตกต่างกัน
ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต
บางคนเป็นเส้นบางๆ
บางคนเป็นกำแพงใหญ่
แต่ “กรอบ” ที่ดีที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข
คือ “กรอบ” ที่ไม่มีเส้น
ในมุมของความคิดสร้างสรรค์ “กรอบที่ไม่มีเส้น” จะมีอาณาเขตแบบประมาณการ
ให้จินตนาการได้วิ่งเล่น
แต่ในมุมของชีวิต
การตัดสินใจในพื้นที่ “กรอบที่ไม่มีเส้น” นี้จะวัด “ปัญญา” ของผู้คน
“ปัญญา” นั้นแตกต่างจาก “ความรู้”
เพราะ “ความรู้” ช่วยให้คุณรู้ว่าจะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จอย่างไร
แต่ “ปัญญา” ซึ่งรวมถึง “สามัญสำนึก” จะทำให้คุณตัดสินใจว่าเรื่องนี้ “ควรทำ”
หรือ “ไม่ควรทำ”
บางทีชีวิตของเราจะมี “ความสุข” หรือ “ความทุกข์”
ชี้ขาดกันด้วยคำถามนี้
…อะไรไม่ควรทำ
ผมจะเตือนน้องๆ ที่ทำธุรกิจและมีชื่อเสียงอยู่เสมอ
ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ให้ดี
เวลาที่มีเรื่องอะไรต้องตัดสินใจบน “กรอบที่ไม่มีเส้น”
จะทำหรือไม่ทำก็ได้
ต้องใคร่ครวญดีๆ
ถ้าทำแล้วรวยขึ้น หรือดังขึ้น แต่เสี่ยงที่จะโดนเล่นงาน
โดยเฉพาะสุ่มเสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย
คิดให้ดีๆ
คิดง่ายๆ ว่าถ้ารวยอยู่แล้ว ก็แค่รวยเพิ่มขึ้นอีก
หรือดังอยู่แล้ว ทำเรื่องนี้แล้วก็ดังขึ้นมาอีก
มันไม่น่าตื่นเต้นอะไรเลย
แค่เพิ่มจากสิ่งที่มีอยู่
คำถามก็คือ “รายรับ” ของชีวิตที่เพิ่มขึ้น
คุ้มกับ “รายจ่าย” ที่อาจจะเสียไปหรือเปล่า
นี่คือ ศิลปะของการใช้ชีวิต
ถ้า “ความรวย” หรือ “ความดัง” ที่มีอยู่ตอนนี้คือ “ความโชคดี” ของชีวิต
เมื่อโชคดีอยู่แล้ว เราก็ควรใช้ “ความโชคดี” ให้เป็นประโยชน์
แทนที่จะมาเสี่ยงให้ “โชคร้าย”
เรื่องแบบนี้จะพิสูจน์ “ปัญญา” ของคนครับ
…อะไรที่ทำได้
แต่ไม่ควรทำ •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022