สุวรรณภูมิ-ทวารวดี [11] สยามมั่งคั่งจากการค้าจีน

ชาวสยามค้าขายคึกคักบริเวณโขง-ชี-มูล-สาละวิน กับบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาถึงคาบสมุทรตอนบน โดยเฉพาะชาวสยามบริเวณลุ่มน้ำมูลใกล้ชิดรัฐใหญ่ทางโตนเลสาบในกัมพูชา

รัฐกัมพูชาเริ่มแผ่อำนาจทางวัฒนธรรมด้วยการสร้างเครือข่ายทางเครือญาติ เพื่อเข้าควบคุมเส้นทางการค้าบริเวณลุ่มน้ำมูลและชี เป็นต้นทางรวบรวมทรัพยากรส่งค้าขายกับนานาชาติ เมื่อภายหลังจีนเริ่มแต่งสำเภาออกค้าขายด้วยตนเองทางทะเลสมุทรถึงอ่าวไทยราว 1,000 ปีมาแล้ว หรือหลัง พ.ศ.1500 เพราะถูกกระตุ้นจากการค้าโลกสมัยแรกขยายกว้างขวาง ที่สืบเนื่องจาก พ.ศ.1000

พระเจ้าชัยวรรมันที่ 5 (เสวยราชย์ พ.ศ.1511-1544) แผ่อำนาจทางวัฒนธรรมถึงลุ่มน้ำมูลที่เมืองเสมา สถาปนาเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ ปะปนทับซ้อนกับพุทธสถานในศาสนาพุทธ ได้แก่ ปราสาทบ่ออีกา (กลางเมืองเสมา) แล้วขยายพื้นที่ออกไปถึงลำตะคอง ได้แก่ ปราสาทเมืองแขก, ปราสาทโนนกู่ (บริเวณนี้ไม่ใช่อีกเมืองหนึ่งต่างหากตามที่เคยเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นเมืองโฆราคะปุระ)

เมืองเสมา (จนาศะปุระ หรือ ศรีจนาศะ) มีความสำคัญต่อการควบคุมเส้นทางการค้าลุ่มน้ำมูล, ชี ทำให้พระเจ้าชัยวรรมันที่ 5 ต้องโปรดให้ “พราหมณ์ยัญชวราหะ” ไปเมืองเสมาเพื่อสถาปนากระชับความสัมพันธ์เครือข่ายเครือญาติเป็นพิเศษ เสมอด้วยบ้านเมืองเครือญาติใกล้ชิดอื่นๆ ได้แก่ เมืองพิมาย, เมืองพนมรุ้ง

“พราหมณ์ยัญชวราหะ” เป็นมหาพราหมณ์ในราชสำนักพระเจ้าชัยวรรมันที่ 5 ต่อมาได้รับยกย่องเป็นเจ้า (ภาษาเขมรว่า “กมรเตง อัญ”)

[สรุปจากบทความเรื่อง “จารึกหลักใหม่จากพนมรุ้ง : ภาพสะท้อนอำนาจพราหมณ์ยัญชวราหะ” โดย ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง]

 

ลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำมูล

ช่วงเวลานั้น ภาษาไท-ไต บริเวณลุ่มน้ำโขงถึงลุ่มน้ำมูลมีบทบาทสำคัญมากเป็นภาษากลางทางการค้า โดยดูจากความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกเรียก “สยาม” มีศูนย์กลางอยู่เมืองเวียงจันท์และเมืองเสมา

ภาษาไท-ไตของชาวสยาม มีความสำคัญทางการค้าดินแดนภายใน มีเหตุจากหลายอย่างดังนี้

(1.) น่านเจ้า (ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ภายในภาคพื้นทวีป) ถูกสลายอำนาจด้วยกองทัพจีนราชวงศ์หยวน (มองโกล-กุบไลข่าน) หลัง พ.ศ.1700

(2.) คุนหมิง ถูกจีนยกความสำคัญแทนน่านเจ้า เพื่อควบคุมทรัพยากรและผู้คนเขตยูนนาน จากนั้นจีนมอบหมายมุสลิม (จากเอเชียกลาง) ปกครองคุนหมิง ขณะเดียวกันโยกย้ายชาวฮั่นเข้าไปตั้งหลักแหล่งในคุนหมิงเพื่อเพิ่มกำลังคนและการค้า

(3.) กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายในโซเมีย (หมายถึงที่สูงทางตอนใต้ของจีน) ซึ่งมีกลุ่มไท-ไตรวมอยู่ด้วย ได้พัฒนาตนเองเข้มแข็งทั้งการเมืองและการค้า

(4.) ภาษาไท-ไตได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มเพื่อใช้สื่อสารต่างชาติพันธุ์ให้เป็นภาษากลางทางการค้าของดินแดนภายในภาคพื้นทวีป

(5.) ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นสถานที่การค้าชายฝั่งทั้งอันดามันและอ่าวไทยส่งผ่านขึ้น-ลงและไป-มาระหว่างยูนนานกับอินเดียและไกลออกไป สินค้าสำคัญคือ “เปลือกหอยเบี้ยมัลดีฟ” จากเกาะมัลดีฟส์ไปคุนหมิง เพื่อใช้เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนในยูนนาน (สิ่งนี้ในไทยสมัยหลังเรียกว่าเงินเบี้ย, หอยเบี้ย)

[ข้อมูลเพิ่มเติมมีในหนังสือ กว่าจะเป็นคนไทย ของ ธิดา สาระยา สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2531]

 

สยามเป็นทั้งชื่อดินแดน (หรือพื้นที่) และชื่อประชาชน (หรือกลุ่มคน)

1. ดินแดนสยาม หมายถึง พื้นที่หลักแหล่งของชาวสยาม ดังนี้

(1.) ไม่เป็นผืนเดียวต่อเนื่องกัน กำหนดตายตัวไม่ได้

(2.) อยู่บริเวณลุ่มน้ำสำคัญตามเวลาและสถานที่ ได้แก่ ลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล, ลุ่มน้ำสาละวิน, ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฟากตะวันตก, คาบสมุทรตอนบน

(3.) สยามมีรากจากคำพื้นเมืองดั้งเดิมว่าซัม, ซำ, หรือ สาม หมายถึงบริเวณดินดำน้ำชุ่มที่มีน้ำซึมน้ำซับ เป็นตาน้ำพุน้ำผุดโผล่ขึ้นจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลน

น้ำซึมน้ำซับหรือตาน้ำพุน้ำผุดเหล่านั้น เกิดจากน้ำฝนที่รากต้นไม้อุ้มไว้บนภูเขาและบนเนินดอน แล้วค่อยๆ เซาะซอนใต้ดินมาพุผุดขึ้นบริเวณดินอ่อนหรือดินโคลนที่ราบเชิงเขาหรือเชิงเนินดอน จนบางแห่งกลายเป็นที่ลุ่มห้วยหนองคลองบึงบุ่งทาม เช่น หนองหารหลวงที่สกลนคร, หนองหานกุมภวาปีที่อุดรธานี, บึงบอระเพ็ดที่นครสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งมีเรื่องราวรายละเอียดโดยพิสดารพร้อมหลักฐานนิรุกติศาสตร์ อยู่ในหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอมฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ (เขียนในคุกก่อน พ.ศ.2509 พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519)

สยามมั่งคั่งจากการค้าสำเภากับจีน ด้วยการใช้ภาษาไท-ไต เป็นภาษากลาง รวบรวมทรัพยากรจากดินแดนภายใน ส่งขายพ่อค้าสำเภาจีนที่มารับซื้อบริเวณอ่าวไทย [ภาพลายเส้นสำเภาจีนในนามเสียนโล้ (สำเภาสยามจากอยุธยา) ไปค้าขายกับญี่ปุ่นในเอกสารบันทึกจดหมายเหตุการค้าของญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่าเรือสำเภาสยามลักษณะนี้ (ทำแบบเดียวกันกับสำเภาจีน) เข้าไปค้าขายที่เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในกลางพุทธศตวรรษที่ 22]
2. ชาวสยาม หมายถึง ประชาชนในดินแดนสยาม มีลักษณะดังนี้

(1.) ไม่ใช่คนไทย (ชาวสยามไม่ใช่คนไทย และไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะเชื้อชาติไม่มีในโลก จึงไม่มีเชื้อชาติสยาม และไม่มีเชื้อชาติไทย)

(2.) คนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” (ไม่จำกัดชาติพันธุ์) พบหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ปนกัน มีจำนวนมากอยู่สองฝั่งโขง-ชี-มูล พูดต่างภาษา ได้แก่ มอญ, เขมร, มลายู, ม้ง (แม้ว), เมี่ยน (เย้า), จีน, ทิเบต, พม่า เป็นต้น

(3.) มีภาษาพูดของใครของมัน ที่สื่อสารกันไม่ราบรื่น

(4.) ใช้ภาษาไท-ไต เป็นภาษาที่สอง หรือภาษากลางในการสื่อสารต่างชาติพันธุ์ บนพื้นที่ต่างกัน 2 สมัย ได้แก่ สมัยแรก ดินแดนภายในบริเวณโขง-ชี-มูล-สาละวิน สมัยหลัง บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลงไปคาบสมุทรตอนบนถึงเพชรบุรีและนครศรีธรรมราช

[ภาษาไท-ไตมีแหล่งกำเนิดอยู่โซเมีย ทางตอนใต้ของจีน บริเวณพรมแดนมณฑลกวางสี กับทางเหนือของเวียดนาม ราว 3,000 ปีมาแล้ว ต่อมามีความเคลื่อนไหวไปตามเส้นทางการค้าดินแดนภายในถึงลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล, ลุ่มน้ำสาละวิน และลุ่มน้ำเจ้าพระยา

แต่เฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาษาไท-ไต ผสมกลมกลืนกับภาษาลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เช่น มอญ, เขมร, มลายู, บาลี-สันสกฤต ฯลฯ) กระทั่งระหว่าง พ.ศ.1700-1800 ถูกเรียกชื่อใหม่ว่าภาษาไทย]

 

สยามในประวัติศาสตร์ พบหลักฐานหลายอย่างดังนี้

1. จารึกจามปา เมืองญาตรัง (เวียดนาม) พ.ศ.1593 กล่าวถึงกษัตริย์จามปาอุทิศทาส 55 คน ถวายเป็น “ข้าพระ” ของเทวรูป “เจ้าแม่” ข้าทาสจำนวนนี้มีชาวจาม, เขมร, จีน, พุกาม, และชาวสยาม [จากหนังสือความเป็นมาคำสยามฯ พ.ศ.2519]

สยามในจารึกจามปามาจากไหน? ไม่พบคำอธิบาย แต่รัฐจามปาอยู่ต่อเนื่องพื้นที่เก่าแก่ดั้งเดิมภาษาตระกูลไท-ไต บริเวณพรมแดนจีนใต้ กับทางเหนือของเวียดนาม

2. ภาพสลัก “เสียมกุก” บนระเบียงปราสาทนครวัด พ.ศ.1650 เป็นขบวนแห่เกียรติยศของชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกในพิธีถือน้ำพระพัทธ์ของราชสำนักเมืองพระนคร

เสียม เป็นสำเนียงเขมรเรียกสยาม, กุก คือ กก หมายถึงดั้งเดิมเริ่มแรก

3. เอกสารจีน พ.ศ.1825 ระบุชื่อ เสียน หมายถึง ดินแดน (ประเทศ) สยาม

[แต่เดิมเข้าใจว่าเสียนในเอกสารจีนหมายถึงสุโขทัย ต่อมาพบว่าไม่ใช่ เพราะแท้จริงหมายถึงสุพรรณภูมิ (จ.สุพรรณบุรี), เพชรบุรี, นครศรีธรรมราช] •

 

| สุจิตต์ วงษ์เทศ