ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ศุภโชติ ไชยสัจ
พลังงาน : ไทยกับสหรัฐในกระแสโลก
ตอนที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ ผมกำลังเตรียมตัวกลับไปที่บอสตัน สหรัฐ ปลายเดือนมกราคมนี้ก็จะเปิดเทอมและผมจะกลับไปทำหน้าที่ต่อครับ
แน่นอนว่าการเดินทางกลับครั้งนี้ทำให้ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งในไทยและอเมริกาควบคู่กัน
สิ่งที่สะดุดตาและน่าสนใจในข่าวทั้งสองประเทศ ทั้งไทยและอเมริกา คือประเด็นเรื่องพลังงานครับ
ในประเทศไทย เราเห็นการถกเถียงระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้านเกี่ยวกับการกำหนดราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาพลังงานทางเลือกอย่างแสงอาทิตย์ และลม ซึ่งเป็นหัวข้อที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง
ส่วนที่สหรัฐ เรื่องพลังงานกลับถูกพูดถึงในอีกมิติหนึ่ง นั่นคือ การกลับสู่พลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและก๊าซ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลก่อนพยายามทำ
และขยายไปรวมถึงเรื่องความพยายามเข้าถึงเขตแดน (Territory) ต่างๆ อย่างอ่าวเม็กซิโก แคนาดา หรือกรีนแลนด์ ของ (ว่าที่) ประธานาธิบดีทรัมป์
ทำไมทรัมป์ถึงอยากได้กรีนแลนด์
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สนใจกรีนแลนด์คือศักยภาพด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
กรีนแลนด์มีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา คาดว่ามีปริมาณสำรองกว่า 50 พันล้านบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมัน
นอกจากนี้ การละลายของธารน้ำแข็งในภูมิภาคอาร์กติกยังเปิดโอกาสใหม่สำหรับการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น รวมถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำจากธารน้ำแข็งที่ละลาย และพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในพื้นที่ที่ไม่มีคนอาศัย
อีกทั้งกรีนแลนด์ยังเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเทคโนโลยีสะอาด เช่น กังหันลม แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเหล่านี้จะช่วยให้สหรัฐอเมริกาลดการพึ่งพาจีนในการนำเข้าแร่ธาตุหายาก และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว
ในมุมมองยุทธศาสตร์ กรีนแลนด์ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญในเส้นทางเดินเรือใหม่ในอาร์กติก ซึ่งช่วยสนับสนุนการขนส่งพลังงานและสินค้าระหว่างตลาดโลก
การที่ทรัมป์แสดงความสนใจในกรีนแลนด์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
เนื่องจากในอดีตประเทศนี้เคยซื้อลุยเซียนาจากฝรั่งเศสในปี 1803 และอะแลสกาจากรัสเซียในปี 1867
ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นการลงทุนเพื่อขยายดินแดนและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
การซื้อกรีนแลนด์จึงถือเป็นความพยายามครั้งใหม่ในแนวคิดขยายตัวเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศในเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน
พลังงานในมุมมองระดับโลก
เมื่อมองในระดับโลก เราจะเห็นการต่อสู้ระหว่างสองกระแสหลัก พลังงานฟอสซิลและพลังงานสะอาด
ปัจจุบัน ราคาพลังงานจากแหล่งสะอาด เช่น ลมและแสงอาทิตย์ เริ่มมีความสามารถในการแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้มากขึ้น
– ราคาพลังงานลมและแสงอาทิตย์ : ข้อมูลจาก International Renewable Energy Agency (IRENA) ระบุว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมบนบกและแสงอาทิตย์ลดลงถึง 68-85% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันราคาการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง
ในขณะที่ราคาน้ำมันและก๊าซอาจสูงถึง 70-100 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดพลังงานมีความผันผวน
– พลังงานฟอสซิล : แม้ว่าจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักในหลายประเทศ แต่ราคาที่ไม่แน่นอนและปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้หลายประเทศเริ่มลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานเหล่านี้
นอกจากการเปรียบเทียบในเรื่องของราคา ข้อจำกัดในเรื่องความไม่เสถียรของพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์ ก็ถูกแก้ไขโดยการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบกักเก็บพลังงานอย่างแบตเตอรี่ ซึ่งทำให้พลังงานสะอาดเป็นตัวเลือกที่ดูได้เปรียบกว่าพลังงงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นเรื่อยๆ
การรับซื้อไฟฟ้า
จากพลังงานหมุนเวียนรอบล่าสุด
จำนวนกว่า 3,600 MW
เป็นเวลา 25 ปี ของไทย
คุ้มหรือไม่?
เป็นคำถามที่ถกเถียงกันในประเทศไทย ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบล่าสุดจำนวนกว่า 3,600 MW ที่รัฐบาลประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในราคา 2.2 บาทต่อหน่วย หรือจากพลังงานลมที่ 3.1 บาทต่อหน่วย สำหรับโครงการที่จะมีการสร้างตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2573 นั้นมีความสมเหตุสมผลมากน้อยแค่ไหน ลองไปดูข้อมูลเปรียบเทียบกัน
1. ช่วงต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก (Levelized Cost of Electricity – LCOE) :
ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
เช่น ความเร็วของลม ความเข้มข้นของแสงอาทิตย์ ต้นทุนการติดตั้ง แรงงาน และนโยบายของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ถ้ายกตัวอย่างแค่พลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ ในปัจจุบัน LCOE ของโซลาร์เซลล์ทั่วโลกอยู่ในช่วงประมาณ 0.03 ถึง 0.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ประมาณ 1.00 ถึง 2.00 บาทต่อหน่วย) ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันของพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ
โดยประเทศที่มีต้นทุนถูกที่สุดคือ อินเดีย ซึ่งต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.02-0.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ประมาณ 0.70-1.10 บาทต่อหน่วย) เนื่องจากแรงงานและต้นทุนการติดตั้งที่ต่ำ รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาล
2. ระยะเวลาสัมปทานการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน :
ระยะเวลาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและโครงการ โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาสัมปทานมักอยู่ในช่วง 15 ถึง 25 ปี
ตัวอย่างเช่น ออสเตรเลีย ซึ่งกำหนดสัญญาสัมปทานไว้ที่ 15 ปี เพื่อดึงดูดการลงทุนในระยะสั้น
ขณะที่ฟิลิปปินส์มีระยะเวลาสัมปทานนานถึง 25 ปี เพื่อสร้างความมั่นคงในโครงการระยะยาว การกำหนดระยะเวลาสัมปทานที่เหมาะสมมีความสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในระยะยาว
3. ประเทศที่รวมพลังงานหมุนเวียนในแผนสำรองพลังงานแห่งชาติ :
หลายประเทศได้รวมพลังงานหมุนเวียนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนสำรองพลังงานแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ตัวอย่างเช่น :
– เยอรมนี : มีการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง และมีการบูรณาการพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ระบบพลังงานหลักของประเทศ
– เดนมาร์ก : มีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2050 และได้รวมพลังงานเหล่านี้ในแผนสำรองพลังงานแห่งชาติ
– สหรัฐอเมริกา : บางรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย มีการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียนและรวมพลังงานเหล่านี้ในแผนสำรองพลังงานของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเทศที่ไม่ได้รวมพลังงานหมุนเวียนในแผนสำรองพลังงานแห่งชาติ เช่น ซาอุดีอาระเบีย, รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งยังเน้นพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก โดยพลังงานหมุนเวียนยังถือว่าเป็นส่วนเสริมมากกว่าที่จะเป็นแหล่งพลังงานสำรองในระบบ
จะเห็นได้ว่าหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้มีทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นของตัวเองนั้นต่างมุ่งเน้นที่จะเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะลดความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลบอกว่าประเทศไทยต้องการจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนพร้อมกับให้สัมปทาน 25 ปีนั้น ก็ดูพอจะมีเหตุผลมารองรับในเรื่องนี้
คำถามในเรื่องนี้คือ ทำไมราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ ยังคงใช้ราคาเดิมที่คิดตั้งแต่หลายปีมาแล้ว สำหรับทุกโครงการที่จะเกิดขึ้นภายในอีก 5 ปีข้างหน้า
เพราะอย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ทศวรรษที่ผ่านมาต้นทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนลดลงกว่าครึ่ง แล้วทำไมในอนาคตข้างหน้า ต้นทุนถึงจะไม่ถูกลงไปอีกล่ะ?
แหล่งพลังงานใหม่
: ทางเลือกที่น่าสนใจมีหรือไหม?
นอกจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์แล้ว ยังมีแหล่งพลังงานใหม่ที่น่าสนใจและควรถูกนำมาใช้ในระดับที่กว้างขวางขึ้น ได้แก่ :
1. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy)
พลังงานชนิดนี้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และมีต้นทุนการดำเนินงานต่ำเมื่อเทียบกับพลังงานสะอาดชนิดอื่น ยิ่งปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีอย่าง Heat Pump หรือเทคนิคแบบใหม่อย่าง Enhanced Geothermal System (ESG) ยิ่งทำให้ขอบเขตของพื้นที่ที่สามารถใช้พลังงานความร้อนได้นั้นขยายตัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน
2. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors – SMRs)
โรงไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้มีความปลอดภัยสูงกว่าและต้นทุนในการก่อสร้างต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม พวกมันอาจเป็นทางเลือกที่ดีในอนาคตสำหรับประเทศที่ต้องการพลังงานสะอาดในปริมาณมาก ซึ่งล่าสุดประเทศไทยได้บรรจุการสร้างโรงไฟฟ้าประเภทนี้อยู่ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan : PDP) ฉบับล่าสุด ปี 2024 แล้วเช่นกัน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมทั้งด้านเทคนิค ข้อกฎหมาย รวมไปถึงสร้างความตระหนักรู้กับประชาชนก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องเร่งลงมือทำเช่นกัน
3. พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)
การใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฮโดรเจนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถใช้ในภาคขนส่งหรืออุตสาหกรรมได้อย่างหลากหลาย ปัญหาในเรื่องต้นทุนที่สูงนั้นก็กำลังถูกหลายๆ ฝ่ายระดมทุนช่วยกันวิจัยหาวิธีลดต้นทุนในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวนี้เช่นกัน
พลังงานเพื่อชุมชน
: การต่อสู้กับการรวมศูนย์
ในบริบทของประเทศไทยและโลก การผลักดันแนวคิด “พลังงานเพื่อชุมชน” หรือ “Communal Energy” อาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดการผูกขาดของบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ แทนที่จะบริหารภาคพลังงานของประเทศในรูปแบบรวมศูนย์จนเกิดช่องโหว่เหมือนในอดีต การกระจายอำนาจสู่ระดับท้องถิ่นในภาคพลังงาน อย่างการใช้พลังงานจากแหล่งที่ผลิตได้ในแต่ละพื้นที่ เช่น โซลาร์รูฟท็อปหรือกังหันลมขนาดเล็ก จะช่วยให้ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกและมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตด้านพลังงานในพื้นที่ของตัวเองมากขึ้น
– พลังงานกระจายตัว (Decentralized Energy) : ระบบที่ผู้คนสามารถผลิตและใช้พลังงานเองในชุมชน เช่น โครงการโซลาร์ชุมชนหรือโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก (Microgrid) จะช่วยลดการพึ่งพาระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพิ่มเสถียรภาพด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมได้ง่ายขึ้น
– ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น : การสนับสนุนพลังงานท้องถิ่นช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน
ตัวอย่างพลังงานชุมชนที่น่าสนใจ
1.โครงการโซลาร์ชุมชน
ชุมชนร่วมลงทุนในแผงโซลาร์เซลล์หรือสมัครใช้พลังงานร่วมกัน พลังงานที่ผลิตได้แบ่งปันในรูปแบบเครดิตค่าไฟ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นที่ติดตั้งเอง เช่น ผู้เช่า ตัวอย่างเช่น Sharon Solar Farm ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ที่ชุมชนลงทุนในแผงโซลาร์และผู้เข้าร่วมได้รับส่วนลดค่าไฟผ่านเครดิต หรือ Colorado Community Solar Gardens ในโคโลราโด ที่รัฐบาลสนับสนุนการแบ่งปันพลังงานในชุมชน
2. ไมโครกริดและพลังงานลมชุมชน
ระบบพลังงานขนาดเล็ก เช่น ไมโครกริด หรือกังหันลมชุมชน ช่วยให้พลังงานเสถียร ลดการพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่ และเหมาะสำหรับพื้นที่ลมแรงหรือไฟฟ้าไม่เสถียร เช่น โครงการ Smart Power India ที่นำไมโครกริดไปใช้ในชนบทของอินเดีย หรือ Middelgrunden Wind Cooperative ในเดนมาร์ก ที่ชุมชนร่วมกันสร้างกังหันลมในทะเลและแบ่งปันพลังงานในราคาที่ถูก
3. สหกรณ์พลังงาน
สมาชิกชุมชนร่วมกันลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น ลม น้ำ หรือชีวมวล พร้อมแบ่งปันผลกำไรหรือพลังงานในราคาต่ำกว่า ตัวอย่างคือ J?hnde Bioenergy Village ในเยอรมนี ซึ่งใช้พลังงานชีวมวลที่ผลิตจากของเสียทางการเกษตรเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าและความร้อนให้กับชุมชน
4. พลังงานชีวมวลและก๊าซชีวภาพ
ใช้ของเสียจากเกษตรกรรมหรือเศษอาหารมาผลิตพลังงาน ลดขยะและเพิ่มความยั่งยืนในชุมชน เช่น โครงการ J?hnde Bioenergy Village ในเยอรมนี หรือโครงการพลังงานชีวมวลในหมู่บ้านเล็กๆ ในอินเดียที่แปรรูปขยะอินทรีย์เป็นพลังงานไฟฟ้า
5. การจัดเก็บพลังงานร่วม
ชุมชนลงทุนในแบตเตอรี่ขนาดใหญ่หรือเทคโนโลยีจัดเก็บพลังงานแบบใหม่เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน เช่น โครงการ Cryogenic Energy Storage ของ Highview Power ในสหราชอาณาจักร ที่ใช้เทคโนโลยีการทำความเย็นเปลี่ยนอากาศให้เป็นของเหลวเพื่อกักเก็บพลังงาน โครงการนี้สามารถจัดเก็บพลังงานระยะยาวได้ และเหมาะสำหรับชุมชนหรือเมืองที่ต้องการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง
แนวทางเหล่านี้ช่วยลดการพึ่งพาธุรกิจขนาดใหญ่ เพิ่มความยั่งยืน และส่งเสริมความร่วมมือในชุมชน ทั้งยังช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างเท่าเทียมและเหมาะสมกับทรัพยากรในแต่ละพื้นที่
ปีนี้ว่าจะเดินทางไปศึกษาดูงานพลังงานชุมชนเหล่านี้ด้วยตัวเอง เพื่อหาทางออกสำหรับค่าไฟที่แพงในไทย และหวังว่าจะสามารถนำแนวทางเหล่านี้มาเป็นตัวเลือกให้คนไทยได้ในอนาคตครับ!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022