ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ |
เผยแพร่ |
จู่ๆ “ประชาธิปไตยในเกาหลี” ก็ถูกทดสอบ ไม่ใช่ด้วยการทำรัฐประหารแบบสยามไทยที่นำโดยกองทัพบกแล้วหนุนร่วมด้วยช่วยกันโดยคณะนายทุน ข้าราชการผู้ใหญ่ และในที่สุดแกนนำองค์กรภาคสังคมทั้งหลาย
แต่การทดสอบประชาธิปไตย “ที่เพิ่งสร้าง” ของเกาหลีใต้ น่าสนใจเพราะเป็นการต่อกรระหว่างพรรคการเมืองและภาคประชาสังคม กับประธานาธิบดีในนามของผู้ควบคุมอำนาจรัฐเกาหลีไว้
ในทางทฤษฎีจึงเท่ากับเป็นการต่อสู้ระหว่างภาคประชาสังคมกับรัฐ
การอุบัติขึ้นของเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีกับสภานิติบัญญัติ ในกรณีของเกาหลีใต้ซึ่งมีเพียงสภาผู้แทนราษฎรสภาเดียวเท่านั้น ทำให้เรื่องราวง่ายและมุ่งตรงต่อประเด็นของการสร้างระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีหัวเครื่องและหางเครื่องที่คอยชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย
ทำให้ผมหวนกลับไปทำความเข้าใจในสูตรของระบอบประชาธิปไตยที่กล่าวถึงสัมพันธภาพและความขัดแย้งระหว่างสองสถาบันหลักของระบอบประชาธิปไตย
นั่นคือระหว่างประชาสังคม (civil society) กับรัฐ (state)
ผมเริ่มให้ความสนใจในประเด็นความสำคัญของมโนทัศน์ (concept) เรื่อง “ประชาสังคม” มาตั้งแต่ปี 2539 ตอนนั้นเราเพิ่งผ่านการประท้วงพฤษภาเลือด 2535 จนในที่สุดนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญของประชาชน 2540
ได้เห็นและผ่านประสบการณ์ของ “การใช้พลังรวมหมู่ของพลเมืองไทยในทุกระดับตั้งแต่หมู่บ้าน จังหวัด ภาคและประเทศ ร่วมด้วยการถักทอระหว่างเครือข่ายความร่วมมือต่างๆ ทั้งเครือข่าวชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน นักธุรกิจ นักวิชาการ โดยหวังว่าจะเป็นพลังผลักดันให้สังคมหันตัวเข้าสู่เส้นทางแห่งสังคมสมานุภาพ” (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ 2540)
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นในที่สุดก็ไม่อาจนำสังคมไทยให้รอดพ้นจากการทำรัฐประหารอีก 2 ครั้งต่อมาได้
อะไรคือปัจจัยแห่งความล้มเหลวของไทย
นักทฤษฎีตะวันตกที่เสนอและสร้างมโนทัศน์เรื่องประชาสังคม หรือ civil society บอกว่า สังคมประชาธิปไตยเกิดและดำรงอยู่ได้ด้วยการที่ประชาสังคมสามารถแทรกซึมและเข้าไปกำกับรัฐในการใช้สิทธิทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายและพิทักษ์ทรัพย์สมบัติได้
จอห์น ล็อก เป็นคนสร้างทฤษฎีที่ว่าประชาสังคมเกิดก่อนรัฐ ดังนั้น สังคมจึงมีสิทธิในการล้มล้างหรือปฏิวัติรัฐบาลได้อย่างถูกต้องหากไม่เคารพรักษาผลประโยชน์ของประชาชน
เขาทำให้อำนาจตามจารีตแต่เดิมของผู้ปกครองเช่นกษัตริย์ไม่ใช่ “อำนาจการเมือง” อันชอบธรรม จนกว่าจะมีประชาสังคมดำรงอยู่ในนั้นด้วย
ตอนโน้นผมให้ความสนใจไปที่ทฤษฎีสัญญาสังคมของล็อกในประเด็นที่เขาให้ความชอบธรรมแก่ประชาชนในการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลที่ปกครองอย่างไม่เป็นธรรมและอย่างกดขี่ เพราะข้อความวรรคนี้ก็อ่านมาจาก “คำประกาศเอกราช” ของอเมริการ่างโดยโทมัส เจฟเฟอร์สัน และคณะผู้ก่อการ
ยิ่งเมื่อประสานวรรคนี้เข้ากับการลุกฮือประท้วงอย่างพร้อมหน้าของมวลมหาประชาชนและนักเรียนนิสิตนักศึกษาในเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 และกรณีพฤษภาเลือดปี 2535 ทั้งหมดนั้นล้วนตอกย้ำวรรคทองของล็อกทั้งสิ้น
จึงเชื่อและเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยมาจากการลุกขึ้นสู้กระทั่งปฏิวัติโดยประชาชน ซึ่งก็ถูกเพราะถ้าไม่มีการเริ่มต้นโดยการใช้กำลังของประชาชน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะมีผลต่อการสร้างระบบและโครงสร้างแบบใหม่ก็ยากที่จะก่อตัวและเกิดขึ้นมาได้
แต่ปัญหาการสร้างและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยมีมากกว่าการออกมาประท้วงของมหาชน
ตอนโน้นภาคประชาสังคมให้น้ำหนักไปที่การเคลื่อนไหวและต่อสู้ประท้วงเป็นหลัก ส่วนการเสริมสร้างและสานต่อระบบใหม่นั้นไม่ค่อยได้ทำหรือคิดจะทำกันมากนัก เพราะมันติดเงื่อนไขมากมายหลายประการ
ที่สำคัญคือภาคสังคมไม่เคยมีประสบการณ์ในการสร้างระบบมาก่อนเลย
ข่าวการประกาศกฎอัยการศึกกลางดึกวันที่ 3 ธันวาคมศกก่อนโดยประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งพรรคพลังประชาชน (People Power Party) ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมที่กุมอำนาจบริหารคือทำเนียบประธานาธิบดี แต่ไม่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีใครรู้มาก่อน เป็นสายฟ้าฟาดในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีฟ้า ไม่มีวี่แววของพายุและอากาศแปรปรวนแต่ประการใด
นี่คือการยึดอำนาจรัฐมาไว้ในมือของฝ่ายบริหารคือรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว เพราะภายใต้กฎอัยการศึกรัฐบาลสามารถออกคำสั่งได้ทุกอย่างแต่ฝ่ายเดียวไม่ต้องขออนุมัติผ่านสภาผู้แทนฯ ตามปกติ
สามารถสั่งการให้ควบคุมถึงจับกุมฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจรัฐเช่นหัวหน้าภาคฝ่ายค้าน ระงับการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนและนักธุรกิจทั้งหลาย รวมแล้วเหมือนกับการทำรัฐประหารโดยกองทัพในประเทศไทย
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะจบลงเหมือนรัฐประหารไทย ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและพันธมิตรร่วมกับพลังประชาชนนับพันก็ออกมาชุมนุมหน้ารัฐสภา
ภาพที่เห็นจากสื่อมวลชนทั่วโลกคือบรรดา ส.ส.ฝ่ายค้านพากันหาทางบุกเข้าไปในรัฐสภา ด้วยการปีนป่ายและหาช่องทางต่างๆ ที่ป้องกันโดยกำลังทหาร แต่กำลังส่วนใหญ่ยังมาไม่ถึง เข้าใจว่ากำลังทหารไม่สามารถเคลื่อนมาที่รัฐสภาได้ตามเวลาเพราะต้องรอการอนุมัติให้กองกำลังเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ได้ เข้าใจว่าเป็นกฎของกองทหารอเมริกันที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายกำลัง ทำให้การควบคุมและปิดกั้นเสรีภาพในการชุมนุมและการสื่อสารไม่อาจทำได้ในเวลาที่กำหนด
ช่วงเวลาที่เสียไปนั้นเองที่เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคฝ่ายค้านพากันบุกเข้าไปในรัฐสภาได้เรียบร้อยแล้วและดำเนินการเปิดประชุมสภาวาระฉุกเฉินพิเศษทันที เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของสภาผู้แทนราษฎรที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นคือสามารถถ่วงดุลและควบคุมการใช้อำนาจล้นเกินที่ละเมิดรัฐธรรมนูญของฝ่ายบริหารได้ รัฐสภาเกาหลีใต้สามารถถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งได้ภายในเวลาต่อมา
เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ผมบรรลุความหมายแท้จริงในข้อเขียนของจอห์น ล็อก ที่พูดถึงกำเนิดรัฐบาลและประชาสังคม ว่าสังคมประชาธิปไตยเกิดและดำรงอยู่ได้ด้วยการที่ประชาสังคมสามารถแทรกซึมและเข้าไปกำกับรัฐในการใช้สิทธิทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายและพิทักษ์ทรัพย์สมบัติได้ การเคลื่อนไหวและนำไปสู่การลงมติถอดถอนประธานาธิบดีคือการใช้อำนาจรัฐโดยผู้แทนประชาชน และนั่นคือกระบวนการหนึ่งของการสร้างและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่หยุดเพียงแค่ออกมาประท้วงได้เท่านั้น
การกระทำอันเด็ดเดี่ยวและฉับพลันของสภาผู้แทนราษฎรเกาหลีใต้จึงพิสูจน์ให้เห็นสัจธรรมข้อนี้ของล็อก
นี่คือบริบทของการปะทะกันระหว่างพลังทางสังคมกับรัฐ เริ่มจากการที่ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งพรรคพลังประชาชน (People Power Party) ประกาศกฎอัยการศึก จากนั้นสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) และแนวร่วมพรรคเสรีนิยมอื่นๆ ที่มี 187 เสียงก็พากันออกมาต่อต้านคัดค้านการประกาศกฎอัยการศึกอย่างทันใด เพราะตามกฎหมายรัฐสภามีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติการประกาศกฎอัยการศึกของฝ่ายประธานาธิบดีได้ นี่เป็นเพราะรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้เขียนขึ้นมาเพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง
ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ของไทย
แหล่งข่าวบอกว่าจริงๆ แล้วประธานาธิบดียุนได้วางแผนป้องกันไม่ให้ ส.ส.เข้ามาในรัฐสภาได้ ด้วยการออกคำสั่งให้หน่วยข่าวกรองสามารถจับกุมตัวหน้าพรรคและแกนนำ รวมถึงการเซ็นเซอร์ข่าวในสื่อมวลชนทั้งหมด เหมือนกับการทำรัฐประหารในกรุงสยาม
แต่การเคลื่อนกำลังทหารไม่เร็วพอ ผลของการเข้ายึดและเปิดรัฐสภาไม่ได้ ทำให้เกมการเมืองพลักผันไปอย่างหน้ามือเป็นหลังตีน
รัฐสภาสามารถรวมเสียงได้เกินสองในสามของรัฐสภา 300 เสียงในการดำเนินการถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งครั้งที่สอง หลังจากฝ่ายค้านได้คะแนน 192 จึงแพ้คะแนนไปในครั้งแรก ครั้งที่สองคะแนนฝ่ายค้านรวมกับพรรคอื่นๆ ได้ 208 จึงเป็นฝ่ายชนะในการถอดถอนไป
น่าสนใจว่าคะแนนเสียงที่ทำให้การถอดถอนสำเร็จนั้นมาจากพรรครัฐบาลเอง 18 เสียง แสดงว่าสมาชิกพรรครัฐบาลก็มีอิสระในการวินิจฉัยการกระทำของประธานาธิบดีเองด้วย ไม่ใช่ลงคะแนนจากการสั่งของหัวหน้าพรรคแต่ถ่ายเดียว
จุดนี้สำคัญมากเพราะผมพบว่าการรักษาประชาธิปไตยให้มั่นคงดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานนั้นต้องอาศัย “การทรยศ” ของคนในพรรครัฐบาลหรือในชนชั้นปกครองด้วยเสมอ
กระบวนการต่อจากนั้นจึงส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตัดสินต่อไปว่าจะถอดหรือไม่ถอด โดยมีเวลาพิจารณา 180 วัน เรื่องผู้พิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นปัญหาการเมืองไปด้วย เพราะขณะนี้เหลือผู้พิพากษาศาลเพียง 6 คนเนื่องจาก 3 คนได้ลาออกก่อนแล้ว
ฝ่ายพรรคประชาธิปไตยต้องการเสนอชื่อผู้พิพากษา 2 คนโดยเร็วและโปร่งใส เพราะมติในการตัดสินต้องให้ได้เสียง 6 เสียงจาก 9 ผู้เสนอชื่อผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญคือรักษาการประธานาธิบดีนายฮัน ด็อกซู (Han Dok-Su) ซึ่งเป็นเทคโนแครตอนุรักษนิยมจากพรรครัฐบาล เขาจึงพยายามดึงกระบวนการให้ช้า
ที่สำคัญไม่ดำเนินการสอบสวนการกระทำของประธานาธิบดีว่ามีความผิดตามกฎหมายหรือไม่
ทั้งหมดนี้ทำให้ฝ่ายค้านในสภาตัดสินใจทำการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งในวันที่ 27 ธันวาคม เป็นประวัติศาสตร์เลยที่มีการถอดถอนสำเร็จสองครั้งในเวลาเดือนเดียว
ผมต้องการเล่าเหตุการณ์สำคัญอย่างละเอียดเพราะทำให้การเปรียบเทียบกับเหตุการณ์คล้ายกันในไทยใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
เรากำลังติดตามดูว่าทำไมสภาผู้แทนราษฎรเกาหลีใต้ถึงประสบความสำเร็จในการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือฝ่ายบริหารได้
มาถึงตอนนี้เห็นว่าเพราะ
ข้อแรก เกาหลีใต้มีพรรคการเมืองประชาธิปไตยที่มาจากพลังทางสังคม (ประชาสังคม) มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยประชาชนเข้มแข็ง การจัดตั้งและดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างมืออาชีพไม่ใช่สมัครเล่นหรือเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ข้อสอง รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยไม่หมกเม็ดและครอบงำด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น
สาม ฝ่ายยุติธรรม ผู้พิพากษา อัยการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ใช่องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริง หากแต่เป็นมืออาชีพตามหลักการและกฎหมายที่เท่าเทียมกัน
และทั้งหมดนี้คือการทำให้ “อำนาจการเมือง” ที่เคยเป็นอภิสิทธิ์ของชนชั้นปกครองจารีตและผู้กุมกำลังต้องยอมให้ประชาสังคมเข้ามาร่วมและกำกับควบคุมในการออกกฎหมายด้วยอย่างชอบธรรม
บรรณานุกรม
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ 2540. ประชาสังคม : พัฒนาการและนัยยะแห่งอนาคต กรุงเทพฯ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022