พิพิธภัณฑสถานสร้างชาติ (1)

ชาตรี ประกิตนนทการ

เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” ได้เริ่มโครงการใหญ่ ตั้งแต่ราว พ.ศ.2555 ในการเปลี่ยนโฉมรูปแบบการจัดแสดงให้ดูทันสมัย สวยงาม การจัดไฟส่องสว่างที่ทั้งดึงดูดความสนใจและขับเน้นคุณค่าของโบราณวัตถุให้เพิ่มสูงขึ้น ภายใต้การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หลากหลายรูปแบบเข้ามาช่วยการเรียนรู้

และที่สำคัญที่สุดคือ การอนุญาตให้สามารถถ่ายภาพโบราณวัตถุได้โดยไม่ใช้แฟลช ซึ่งทั้งหมดถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อดีมากมายที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาลงลึกไปในระดับเนื้อหาการจัดแสดงและ “สาร” (message) ที่ส่งผ่านออกมา น่าสังเกตว่า ยังมีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากในอดีตเท่าที่ควร

ควรกล่าวไว้ก่อนว่า การจัดแสดงใหม่มีความแตกต่างในรายละเอียดหลายอย่างจากอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดแสดงใน “พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน” ที่เปิดกว้างทางความคิดและมีประเด็นหลากหลายน่าสนใจมากขึ้น

แต่โดยภาพรวม โดยเฉพาะเนื้อหาการจัดแสดงในส่วนอาคาร “มหาสุรสิงหนาท” และ “ประพาสพิพิธภัณฑ์” ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่สวยงามตื่นใจ แต่ “สาร” กลับมิได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

ความไม่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นประเด็นที่ทั้งน่าสนใจและน่าหาคำอธิบาย

การจัดแสดงโบราณวัตถุในห้องสุโขทัยที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2564

ส่วนตัวคิดว่า สาเหตุหลักประการหนึ่งของความไม่เปลี่ยนแปลงนี้ คือ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทยมีภาระหน้าที่ถาวรทางวัฒนธรรมประการหนึ่ง ที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานในวัฒนธรรมองค์กรภายใต้บริบททางสังคมการเมืองไทย โดยไม่จำเป็นจะต้องระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในที่สาธารณะ แต่รับรู้กันลึกๆ กันในหมู่คนทำงาน

นั่นก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) จะต้องจัดแสดงโบราณวัตถุสถานในดินแดนประเทศไทยในฐานะเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองในการสร้างและค้ำยัน “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม” ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 รวมไปถึงการสร้าง “รัฐชาติไทยสมัยใหม่” ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ต่อเนื่องมาจนถึงการสร้างและผลิตซ้ำอุดมการณ์ “ชาตินิยมไทย” ในยุคสงครามเย็น

หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทยต้องทำหน้าที่ “สร้างชาติไทย” ผ่านการจัดแสดงโบราณวัตถุสถานต่างๆ

การจัดแสดงภายใน “พิพิธภัณฑ์วังหน้า” ระยะแรกที่ของจัดแสดงยังมีลักษณะผสมปนเปกันระหว่าง ของแปลก ซากสัตว์ เครื่องราชบรรณาการ ศิลปวัตถุ
ที่มา : สมุดภาพสยามเรเนซองส์ : ความทรงจำแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม 1

การสร้างชาติเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้นนะครับ เพราะชาติเป็น “ชุมชนจินตกรรม” (ตามนิยามของ Ben Anderson) ที่ต้องสร้างและผลิตซ้ำต่อเนื่องเรื่อยไปไม่จบสิ้น แม้ความเข้มข้นในการปลูกฝัง อุดมการณ์นี้ผ่านการจัดแสดงอาจหนักเบาต่างไปตามบริบทในแต่ละยุคสมัย แต่บทบาทหน้าที่นี้ไม่เคยหายไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย

อาจพูดได้โดยไม่เกินไปนักว่า สิ่งนี้คือบทบาทหน้าที่หลักถาวรที่สำคัญที่สุดของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ดำเนินคู่ขนานกันไปโดยตลอดกับบทบาทหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ประชาชน

หากดูความหมายของคำว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” ราชบัณฑิตยสภานิยามเอาไว้ว่า

“…พิพิธภัณฑสถาน เป็นศัพท์ที่ใช้แทนคำภาษาอังกฤษว่า museum หมายถึง สถานที่รวบรวม เก็บรักษา และจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่เป็นโบราณวัตถุหรือเป็นศิลปวัตถุของประเทศ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า…เพื่อประโยชน์ให้บุคคลเข้ามาศึกษาหาความรู้หรือชมเพื่อความเพลิดเพลินใจ. คำว่า พิพิธภัณฑสถาน เมื่อมีคำว่า แห่งชาติ ตามมา เป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หมายถึง พิพิธภัณฑสถานที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมและจัดแสดงสิ่งของอันเป็นสมบัติมีค่าของประเทศ…”

พิจารณาตามความหมายและหน้าที่ที่ระบุเพียงแค่นี้ คำว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” อาจไม่ตรงกับบทบาทหน้าที่ที่แท้จริงของตัวมันเองเท่าไรนัก

ในทัศนะผม คำที่อาจเหมาะสมและสะท้อนบทบาทที่แท้จริงมากกว่าก็คือ “พิพิธภัณฑสถานสร้างชาติ”

เพื่อสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว ชุดบทความนี้ จะลองพาย้อนกลับไปดูที่มา หน้าที่ ตลอดจนเนื้อหาการจัดแสดงใน “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” นับตั้งแต่แรกเริ่มตั้งมาจนถึงการจัดแสดงล่าสุดเพื่อชี้ให้เห็นว่าภายใต้ความเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดแสดงหลายต่อหลายครั้งนั้น หัวใจสำคัญที่สุดของ “สาร” ที่ต้องการสื่อออกมาให้ผู้ชมรับรู้กลับไม่แตกต่างจากเดิม

 

“พิพิธภัณฑ์” ในสังคมไทยอาจสืบย้อนกลับไปได้ไกลถึงในสมัย รัชกาลที่ 4 ที่ทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นภายใน “พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์” ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยทำหน้าที่เก็บรักษา โบราณวัตถุ ของแปลก ตลอดจนเครื่องราชบรรณาการต่างๆ

ล่วงมาถึงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายสิ่งของทั้งหมดมาจัดแสดงใหม่ใน “มิวเซียม” ณ อาคาร “ศาลาสหทัยสมาคม” (หอคองคอเดีย) เมื่อ พ.ศ.2417

พ.ศ.2430 สิ่งของถูกย้ายมาจัดแสดงใหม่อีกครั้งในพื้นที่ “พระราชวังบวรสถานมงคล” (วังหน้า) แทน ภายหลังจากที่ “กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ” ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้าทิวงคตลงเมื่อ พ.ศ.2428 และรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งดังกล่าว พร้อมทั้งยุบเลิกสถานะของการเป็นพระราชวัง

การปรับพระราชวังมาเป็นพิพิธภัณฑ์ครั้งนั้น ใช้พระที่นั่ง 3 องค์คือ “พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน”, “พระที่นั่งพุทไธสวรรย์” และ “พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย” พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อพระราชวังใหม่ว่า “พิพิธภัณฑ์วังหน้า” โดยในครั้งนั้นมี พระยาภาสกรวงษ์ (พร บุนนาค) และ Henry Alabaster เป็นผู้อำนวยการจัดแสดง

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาการจัดแสดงครั้งนั้น เอาเข้าจริงแล้ว มีลักษณะไม่ต่างเลยจากพิพิธภัณฑ์ยุคแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 เท่าไรนัก

การจัดแสดงยังคงเน้นโชว์สมบัติมีค่า เครื่องบรรณาการ และซากสัตว์แปลกหายาก ตามแบบที่กษัตริย์และชนชั้นนำในยุโรปในช่วงราวคริสต์ศวรรษที่ 17-18 นิยมทำกัน (ดูเพิ่มในบทความของ สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ เรื่อง “พิพิธภัณฑ์ สิ่งของต้องแสดงและการปกปิดซ่อนเร้น” ในวารสารเมืองโบราณ)

กล่าวได้ว่า ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ยุคเก่าที่ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ บารมี ความร่ำรวย และรสนิยมส่วนตัวของกษัตริย์และผู้ปกครอง (ดูเพิ่มในหนังสือ Inventing the Louvre: Art Politics, and the Origins of the Modern Museum in Eighteenth-Century Paris โดย Andrew McClellan)

 

ความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบ วิธีคิด และเนื้อหาการจัดแสดงครั้งสำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการเมื่อ พ.ศ.2433

พระองค์มีแนวคิดที่จะพัฒนาขยายพิพิธภัณฑ์วังหน้าให้ใหญ่ขึ้นและมีความทันสมัย ถึงขนาดมีการส่งข้าราชการไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศอังกฤษ และมีการจัดทำรายงานนำเสนอเพื่อใช้ในการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ครั้งใหญ่

โดยสรุป หัวใจของความเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนสิ่งของจัดแสดงจากที่เน้นของสะสม ของแปลก และซากสัตว์ มาสู่การจัดแสดงศิลปวัตถุและโบราณวัตถุที่สำคัญของ “รัฐ” (ชาติ) แทน

คำถามคือ ในการจัดแสดงแบบโบราณ การแบ่งหมวดหมู่การจัดแสดงอาจแยกตามประเภทของสิ่งของ เช่น เป็นห้องที่จัดแสดงซากสัตว์ ห้องที่จัดแสดงของแปลก ห้องแสดงเครื่องราชบรรณาการ ฯลฯ แต่เมื่อเปลี่ยนของจัดแสดงมาเป็นศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ โครงเรื่องและการจัดหมวดหมู่ในทัศนะของพระองค์คืออะไร

คำตอบคือ พระองค์วางแนวคิดในการจัดหมวดหมู่และวิธีการแสดงสิ่งของบนฐานความรู้สมัยใหม่ทางประวัติศาสตร์ศิลปะที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเป็นระบบในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ แนวคิด “ประวัติศาสตร์ศิลปะสกุลดำรง-เซเดส์”

 

ผมเคยเขียนไว้ในที่อื่นโดยละเอียดแล้วว่าแนวคิดนี้คืออะไร ดังนั้น จะไม่ขอลงรายละเอียด (อ่านเพิ่มในบทความ “ประวัติศาสตร์ศิลปะสกุลดำรง-เซเดส์ : ข้อสังเกตเบื้องต้น” ในวารสารเมืองโบราณ) โดยจะขอสรุปเฉพาะสาระสำคัญของแนวคิดนี้ ซึ่งก็คือ

การจำแนกและจัดหมวดหมู่โบราณวัตถุที่ค้นพบในดินแดนประเทศไทยตามขอบเขตอำนาจทางการเมืองของรัฐและอาณาจักรสำคัญๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และ ยอร์ช เซเดส์

แนวคิดนี้จะปรากฏเป็นรูปธรรมในช่วงปลายทศวรรษ 2460 และต้นทศวรรษ 2470 ผ่านหนังสือเล่มสำคัญ 2 เล่ม คือ “ตำนานพุทธเจดีย์สยาม” แต่งโดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2469 และ “โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร” แต่งโดย ยอร์ช เซเดส์ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2471

เนื้อหาในหนังสือได้ทำการแบ่งโบราณวัตถุในดินแดนสยามออกเป็น 7 ยุคสมัย โดยเล่มแรกจะแบ่งเป็น สมัยทวารวดี, สมัยศรีวิชัย, สมัยลพบุรี, สมัยเชียงแสน, สมัยสุโขทัย, สมัยศรีอยุธยา, สมัยรัตนโกสินทร์

ส่วนเล่มสองจะแบ่งเป็น สมัยทวารวดี, สมัยศรีวิชัย, สมัยลพบุรี, สมัยเชียงแสนรุ่นเก่า, สมัยสุโขทัย, สมัยเชียงแสนรุ่นหลัง, สมัยอู่ทอง

แม้รายละเอียดจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่โดยสาระสำคัญและกรอบวิธีคิดหลักเหมือนกัน

การจำแนกโบราณวัตถุออกเป็นยุคสมัยข้างต้น คือจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์วังหน้าในเวลาต่อมา และเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่บทความนี้เรียกว่า “พิพิธภัณฑสถานสร้างชาติ”