พ.ศ.นี้ ‘พลเมืองป่วย’ เผชิญผู้ปกครอง Machiavellian

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

พ.ศ.นี้ ‘พลเมืองป่วย’

เผชิญผู้ปกครอง Machiavellian

 

บ้านเมืองวันนี้น่ากังวลว่าเรากำลังเผชิญกับภาวะของพลเมืองไทยทั่วไปมีสภาพ “คนป่วยพายเรือในทะเลพายุ”

ขณะที่นักการเมืองที่มีอำนาจบริหารประเทศเป็นแบบ “เขี้ยวลากดิน” ที่ทำทุกอย่างเพื่อกุมอำนาจไว้ให้ยาวนานที่สุด

โดยไม่คำนึงว่าความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนไทยโดยเฉลี่ยนั้นยิ่งวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ขณะที่ผู้ปกครองกลุ่มเล็กๆ เสริมสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง

และไม่สนใจว่าความเหลื่อมล้ำที่เสื่อมทรุดขึ้นทุกวันนั้นกำลังเซาะกร่อนบ่อนทำลายอนาคตของประเทศอย่างไม่ปรานีปราศรัย

เหมือนประชาชนคือ “คนไร้ภูมิคุ้มกัน”

ขณะที่ผู้ปกครองยึดแนวทางแบบ “มาเคียเวลลี่”

“อำนาจคือทุกอย่าง คนมีอำนาจถูกเสมอ คนที่อ่อนแอย่อมผิดเสมอ…”

อันหมายถึงพฤติกรรมของผู้บริหารประเทศตามหลักปรัชญาการเมืองแบบ Nicolo Machiavelli ที่มีชีวิตในช่วง ค.ศ.1469-1527

“มาเคียเวลลี่” คือนักปรัชญาชาวอิตาลีที่เขียนหนังสือ The Prince เป็น “คู่มือบริหารประเทศเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรค…ด้วยกลเม็ดเด็ดพรายทุกรูปแบบ”

โดยไม่ต้องสนใจว่าถูกต้องด้วยจริยธรรมหรือศีลธรรมหรือความชอบธรรมหรือไม่

มันคือแนวความคิดที่ว่าเมื่อคุณมีอำนาจทางการเมืองแล้ว ในฐานะผู้ปกครองบ้านเมืองก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์แห่งตน

หากคุณเป็นผู้ถืออำนาจรัฐก็สามารถใช้วิธีการควบคุมสังคมทุกรูปแบบ

รวมถึงการใช้ความรุนแรงในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้หมดไป โดยอ้างว่า “เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเสถียรภาพของบ้านเมือง”

 

บ่อยครั้ง นักปกครองแบบ Machiavellian ก็อ้างว่ามีความชอบธรรมที่จะใช้การโกหกหลอกลวง

หรือเบี้ยวคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ (ทั้งในช่วงหาเสียงหรือในการลงนามใน MoU) ได้อย่างหน้าตาเฉย

โดยอ้างว่า “เราต้องอยู่กับความจริง”

นั่นย่อมหมายความว่าไม่มีความจำเป็นต้องรักษามาตรฐานจริยธรรมที่สังคมพึงคาดหวัง

หลักการที่ว่านักการเมืองไม่โกหกประชาชนจึงไม่เป็นหลักปฏิบัติที่ผู้ปกครองเหล่านี้ต้องยึดถือ

เพราะจุดมุ่งหมายของผู้มีอำนาจในแนวคิดนี้มีประการเดียว

นั่นคือการอยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะยาวนานได้

 

นักการเมืองแบบ Machiavellian อาจไม่จำเป็นต้องได้อ่านหนังสือของ Niccol? Machiavelli ที่โด่งดังในทางเลวร้ายในศตวรรษที่ 16

ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้รับการอบรมสั่งสอนถึงกลยุทธ์สำหรับผู้ปกครองที่มุ่งหวังจะแสวงหา รักษา และรวบอำนาจไว้ให้เหนียวแน่นและยาวนาน

มันคือคัมภีร์ที่แนะนำที่ใช้ในชีวิตนักการเมืองบ้าอำนาจ

เป็นคู่มือเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรมทางศีลธรรม

นักการเมืองแบบ Machiavellian มีลีลาท่าทางที่สังเกตได้ไม่ยาก

เป็นมนุษย์พันธุ์ที่ทำตัวเหมือนฉลาดแต่เจ้าเล่ห์

และพร้อมใช้การบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือหลอกลวงฉ้อฉลเพื่อเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนแต่เพียงอย่างเดียว

ในบางสถานการณ์ นักการเมืองแบบนี้ดูเหมือนจะเป็น “คนเก่ง” ที่พลิกเกมการเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว

อีกทั้งบางครั้งยังทำตนเหมือนมีเส้นสนกลในพิเศษที่ทำให้เกิด “สิ่งมหัศจรรย์” ที่คนอื่นทำไม่ได้

จนทำให้เกิดค่านิยม “โกงไม่เป็นไรถ้ามีผลงาน”

อันเป็นการสร้างวาทกรรมบิดเบี้ยวที่ทำลายพื้นฐานแห่งมาตรฐานศีลธรรมจรรยาของสังคม

เพราะท้ายที่สุด เป้าหมายของพวกเขาเหล่านี้ก็คือการรักษาหรือเพิ่มพูนผลประโยชน์ของตนและกลุ่มของตน

ส่วนที่อ้าง “เพื่อประชาชน” นั้นเป็นเพียงการสร้างภาพให้ดูดี น่าเลื่อมใสเพื่อให้สังคมมองข้ามความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ข้างหลังพฤติกรรมสามานย์เหล่านั้น

 

หากศึกษาให้ลึกซึ้งก็จะซึมซับว่านักการเมืองแบบ Machiavellian มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจ “พลวัตของอำนาจ”

ด้วยการใช้กลไกรัฐและอำนาจแฝงเร้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ

อีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้สันทัดกรณีในการบิดเบือนและหลอกลวง

ออกข่าว, สร้างภาพ, ปั้นข่าวเพื่อนำเสนอตัวเองเป็นคนน่าไว้วางใจและมีคุณธรรม

แต่เบื้องหลังคือกลลวงเพื่อสร้างความได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างฉ้อฉล, ด้วยรูปแบบต่างๆ ของนิติสงคราม และใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งเพื่อสร้างความได้เปรียบสำหรับตนทุกวิถีทาง

มันคือวิถีที่เรียกว่า “เป้าหมายสำคัญกว่าวิธีการ”

หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นวิธีปฏิบัติแบบ The end justifies the means

อันแปลว่าตราบที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะใช้วิธีการลดเลี้ยวเคี้ยวคดเพียงใดก็ทำได้ทั้งสิ้น

นั่นย่อมหมายรวมถึงการชักจูง, หว่านล้อม, ล้อมคอกให้สาธารณชนมีความเห็นด้านบวกสำหรับตนเองผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ, ข่าวลวง, ข่าวปลอม, สร้างภาพเกินเลยความจริงในทุกๆ ด้าน

หรือแม้กระทั่งใช้ประเด็นที่สร้างความแตกแยกเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ใส่ใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในภาพรวม

 

การให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าหลักการทางศีลธรรมหมายความว่านักการเมืองเช่นว่านี้พร้อมจะสร้างพันธมิตรกับกลุ่มที่มีความประพฤติที่ส่อไปในทางทุจริตและทำลายสังคม

หากการสร้างเครือข่ายเช่นว่านี้มีส่วนหนุนเนื่องให้เขาไปถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า

เขาเหล่านี้ย่อมไม่สนใจว่าการกระทำเช่นนี้จะอาจทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาจากประชาชน

เพราะพวกเขามองเห็นประชาชนเป็นเพียง “ลูกค้า” ใน “ธุรกิจการเมือง” ที่ทุกบาทที่ลงทุนจะต้องได้ผลตอบแทนที่ “คุ้มค่า”

อันตรายของผู้ปกครองเยี่ยงนี้คือมักจะเป็นพวกปากหวานและเป็นนักเจรจาที่มีทักษะสูง

บ่อยครั้งก็แสดงออกแบบ “นุ่มนวล” และ “ถ่อมตัว”

เพื่อชักจูงให้ผู้ฟังยอมทำตามสิ่งที่สอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งตน

ไม่ผิดจากเหล่าบรรดานักตุ้มตุ๋นหรือ “สแกมเมอร์” ตรงชายแดนไทย-พม่า ไทย-กัมพูชา และไทย-ลาวเท่าไหร่นัก

เทคนิคที่ใช้กันแพร่หลายคือการบิดเบือนความจริงด้วยการนำเสนอข้อมูลเฉพาะส่วน หรือใช้ภาษาที่เบี่ยงเบนประเด็นเพื่อทำให้การตัดสินใจที่ย้อนแย้งดูเหมือนสมเหตุสมผล

 

คนพวกนี้มีความสามารถในการกำหนดมุมมองของผู้อื่นจนสามารถ “ควบคุมสถานการณ์” ได้…ไม่ว่าสถานการณ์จะเข้าคับขันเพียงใดก็ตาม

มันจึงหมายถึงการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้ผลักดันเป้าหมายของตนในทุกรูปแบบ

คำว่า “ผลประโยชน์” กับ “ความจงรักภักดี” มาพร้อมกันและ หากความสัมพันธ์นั้นไม่เกิดมีประโยชน์อีกต่อไป ก็สามารถสลัดทิ้งได้โดยไม่ลังเล

คนเหล่านี้ย่อมปรับตัวได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป…ไม่ต่างกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี

สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ความยืดหยุ่น” บ่อยครั้งก็คือ “ความปลิ้นปล้อน”

นักการเมืองเหล่านี้อาจประสบความสำเร็จในระยะสั้น แต่พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและความยั่งยืนของความสงบสุขของสังคม

เพราะเมื่อให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนตนเหนือสาธารณประโยชน์ ก็ย่อมหมายถึงคอร์รัปชั่น ความเหลื่อมล้ำ และความไม่สงบของบ้านเมือง

ที่ชัดเจนก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจทุกวิถีทางเพื่อครอบงำอำนาจก็ย่อมนำไปสู่ระบอบอำนาจนิยม

ปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้เห็นต่าง

คู่แข่งทางการเมืองจะถูกกีดกันและทำลายล้าง

การรวมศูนย์อำนาจเช่นนี้ย่อมบั่นทอนการตรวจสอบและถ่วงดุล

ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดอำนาจที่ควบคุมไม่ได้ไม่ว่าจะมีกฎหมายกี่ฉบับ

เพราะการบังคับใช้กฎหมายก็จะเป็นไปตามคำสั่งและตีความของผู้มีอำนาจเท่านั้น

 

ภาพวันนี้ที่เห็นชัดคือคนไทยโดยทั่วไปอยู่ในภาวะอ่อนแอ ไร้ความหวัง ไร้อำนาจต่อรองใต้ “วัฒนธรรมพึ่งพา” ของนักการเมืองผู้มีอำนาจ

ขณะที่มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นแต่นักการเมือง “มาเคียเวลลี่” ที่กำลังกระชับอำนาจเพื่อสกัดกั้นความเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาทุกวิถีทาง

หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจังดั่งที่คนรุ่นใหม่เรียกร้องอย่างร้อนรน สังคมจะ “ระเบิดจากข้างใน” รุนแรงเพียงใด ก็สุดจะคาดเดาได้