ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
พ.ศ.นี้ ‘พลเมืองป่วย’
เผชิญผู้ปกครอง Machiavellian
บ้านเมืองวันนี้น่ากังวลว่าเรากำลังเผชิญกับภาวะของพลเมืองไทยทั่วไปมีสภาพ “คนป่วยพายเรือในทะเลพายุ”
ขณะที่นักการเมืองที่มีอำนาจบริหารประเทศเป็นแบบ “เขี้ยวลากดิน” ที่ทำทุกอย่างเพื่อกุมอำนาจไว้ให้ยาวนานที่สุด
โดยไม่คำนึงว่าความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนไทยโดยเฉลี่ยนั้นยิ่งวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ขณะที่ผู้ปกครองกลุ่มเล็กๆ เสริมสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง
และไม่สนใจว่าความเหลื่อมล้ำที่เสื่อมทรุดขึ้นทุกวันนั้นกำลังเซาะกร่อนบ่อนทำลายอนาคตของประเทศอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เหมือนประชาชนคือ “คนไร้ภูมิคุ้มกัน”
ขณะที่ผู้ปกครองยึดแนวทางแบบ “มาเคียเวลลี่”

อันหมายถึงพฤติกรรมของผู้บริหารประเทศตามหลักปรัชญาการเมืองแบบ Nicolo Machiavelli ที่มีชีวิตในช่วง ค.ศ.1469-1527
“มาเคียเวลลี่” คือนักปรัชญาชาวอิตาลีที่เขียนหนังสือ The Prince เป็น “คู่มือบริหารประเทศเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรค…ด้วยกลเม็ดเด็ดพรายทุกรูปแบบ”
โดยไม่ต้องสนใจว่าถูกต้องด้วยจริยธรรมหรือศีลธรรมหรือความชอบธรรมหรือไม่
มันคือแนวความคิดที่ว่าเมื่อคุณมีอำนาจทางการเมืองแล้ว ในฐานะผู้ปกครองบ้านเมืองก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์แห่งตน
หากคุณเป็นผู้ถืออำนาจรัฐก็สามารถใช้วิธีการควบคุมสังคมทุกรูปแบบ
รวมถึงการใช้ความรุนแรงในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้หมดไป โดยอ้างว่า “เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเสถียรภาพของบ้านเมือง”
บ่อยครั้ง นักปกครองแบบ Machiavellian ก็อ้างว่ามีความชอบธรรมที่จะใช้การโกหกหลอกลวง
หรือเบี้ยวคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ (ทั้งในช่วงหาเสียงหรือในการลงนามใน MoU) ได้อย่างหน้าตาเฉย
โดยอ้างว่า “เราต้องอยู่กับความจริง”
นั่นย่อมหมายความว่าไม่มีความจำเป็นต้องรักษามาตรฐานจริยธรรมที่สังคมพึงคาดหวัง
หลักการที่ว่านักการเมืองไม่โกหกประชาชนจึงไม่เป็นหลักปฏิบัติที่ผู้ปกครองเหล่านี้ต้องยึดถือ
เพราะจุดมุ่งหมายของผู้มีอำนาจในแนวคิดนี้มีประการเดียว
นั่นคือการอยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะยาวนานได้
นักการเมืองแบบ Machiavellian อาจไม่จำเป็นต้องได้อ่านหนังสือของ Niccol? Machiavelli ที่โด่งดังในทางเลวร้ายในศตวรรษที่ 16
ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้รับการอบรมสั่งสอนถึงกลยุทธ์สำหรับผู้ปกครองที่มุ่งหวังจะแสวงหา รักษา และรวบอำนาจไว้ให้เหนียวแน่นและยาวนาน
มันคือคัมภีร์ที่แนะนำที่ใช้ในชีวิตนักการเมืองบ้าอำนาจ
เป็นคู่มือเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรมทางศีลธรรม
นักการเมืองแบบ Machiavellian มีลีลาท่าทางที่สังเกตได้ไม่ยาก
เป็นมนุษย์พันธุ์ที่ทำตัวเหมือนฉลาดแต่เจ้าเล่ห์
และพร้อมใช้การบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือหลอกลวงฉ้อฉลเพื่อเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนแต่เพียงอย่างเดียว
ในบางสถานการณ์ นักการเมืองแบบนี้ดูเหมือนจะเป็น “คนเก่ง” ที่พลิกเกมการเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว
อีกทั้งบางครั้งยังทำตนเหมือนมีเส้นสนกลในพิเศษที่ทำให้เกิด “สิ่งมหัศจรรย์” ที่คนอื่นทำไม่ได้
จนทำให้เกิดค่านิยม “โกงไม่เป็นไรถ้ามีผลงาน”
อันเป็นการสร้างวาทกรรมบิดเบี้ยวที่ทำลายพื้นฐานแห่งมาตรฐานศีลธรรมจรรยาของสังคม
เพราะท้ายที่สุด เป้าหมายของพวกเขาเหล่านี้ก็คือการรักษาหรือเพิ่มพูนผลประโยชน์ของตนและกลุ่มของตน
ส่วนที่อ้าง “เพื่อประชาชน” นั้นเป็นเพียงการสร้างภาพให้ดูดี น่าเลื่อมใสเพื่อให้สังคมมองข้ามความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ข้างหลังพฤติกรรมสามานย์เหล่านั้น
หากศึกษาให้ลึกซึ้งก็จะซึมซับว่านักการเมืองแบบ Machiavellian มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจ “พลวัตของอำนาจ”
ด้วยการใช้กลไกรัฐและอำนาจแฝงเร้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ
อีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้สันทัดกรณีในการบิดเบือนและหลอกลวง
ออกข่าว, สร้างภาพ, ปั้นข่าวเพื่อนำเสนอตัวเองเป็นคนน่าไว้วางใจและมีคุณธรรม
แต่เบื้องหลังคือกลลวงเพื่อสร้างความได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างฉ้อฉล, ด้วยรูปแบบต่างๆ ของนิติสงคราม และใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งเพื่อสร้างความได้เปรียบสำหรับตนทุกวิถีทาง
มันคือวิถีที่เรียกว่า “เป้าหมายสำคัญกว่าวิธีการ”
หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นวิธีปฏิบัติแบบ The end justifies the means
อันแปลว่าตราบที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะใช้วิธีการลดเลี้ยวเคี้ยวคดเพียงใดก็ทำได้ทั้งสิ้น
นั่นย่อมหมายรวมถึงการชักจูง, หว่านล้อม, ล้อมคอกให้สาธารณชนมีความเห็นด้านบวกสำหรับตนเองผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ, ข่าวลวง, ข่าวปลอม, สร้างภาพเกินเลยความจริงในทุกๆ ด้าน
หรือแม้กระทั่งใช้ประเด็นที่สร้างความแตกแยกเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ใส่ใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในภาพรวม
การให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าหลักการทางศีลธรรมหมายความว่านักการเมืองเช่นว่านี้พร้อมจะสร้างพันธมิตรกับกลุ่มที่มีความประพฤติที่ส่อไปในทางทุจริตและทำลายสังคม
หากการสร้างเครือข่ายเช่นว่านี้มีส่วนหนุนเนื่องให้เขาไปถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
เขาเหล่านี้ย่อมไม่สนใจว่าการกระทำเช่นนี้จะอาจทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาจากประชาชน
เพราะพวกเขามองเห็นประชาชนเป็นเพียง “ลูกค้า” ใน “ธุรกิจการเมือง” ที่ทุกบาทที่ลงทุนจะต้องได้ผลตอบแทนที่ “คุ้มค่า”
อันตรายของผู้ปกครองเยี่ยงนี้คือมักจะเป็นพวกปากหวานและเป็นนักเจรจาที่มีทักษะสูง
บ่อยครั้งก็แสดงออกแบบ “นุ่มนวล” และ “ถ่อมตัว”
เพื่อชักจูงให้ผู้ฟังยอมทำตามสิ่งที่สอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งตน
ไม่ผิดจากเหล่าบรรดานักตุ้มตุ๋นหรือ “สแกมเมอร์” ตรงชายแดนไทย-พม่า ไทย-กัมพูชา และไทย-ลาวเท่าไหร่นัก
เทคนิคที่ใช้กันแพร่หลายคือการบิดเบือนความจริงด้วยการนำเสนอข้อมูลเฉพาะส่วน หรือใช้ภาษาที่เบี่ยงเบนประเด็นเพื่อทำให้การตัดสินใจที่ย้อนแย้งดูเหมือนสมเหตุสมผล
คนพวกนี้มีความสามารถในการกำหนดมุมมองของผู้อื่นจนสามารถ “ควบคุมสถานการณ์” ได้…ไม่ว่าสถานการณ์จะเข้าคับขันเพียงใดก็ตาม
มันจึงหมายถึงการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้ผลักดันเป้าหมายของตนในทุกรูปแบบ
คำว่า “ผลประโยชน์” กับ “ความจงรักภักดี” มาพร้อมกันและ หากความสัมพันธ์นั้นไม่เกิดมีประโยชน์อีกต่อไป ก็สามารถสลัดทิ้งได้โดยไม่ลังเล
คนเหล่านี้ย่อมปรับตัวได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป…ไม่ต่างกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี
สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ความยืดหยุ่น” บ่อยครั้งก็คือ “ความปลิ้นปล้อน”
นักการเมืองเหล่านี้อาจประสบความสำเร็จในระยะสั้น แต่พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและความยั่งยืนของความสงบสุขของสังคม
เพราะเมื่อให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนตนเหนือสาธารณประโยชน์ ก็ย่อมหมายถึงคอร์รัปชั่น ความเหลื่อมล้ำ และความไม่สงบของบ้านเมือง
ที่ชัดเจนก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจทุกวิถีทางเพื่อครอบงำอำนาจก็ย่อมนำไปสู่ระบอบอำนาจนิยม
ปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้เห็นต่าง
คู่แข่งทางการเมืองจะถูกกีดกันและทำลายล้าง
การรวมศูนย์อำนาจเช่นนี้ย่อมบั่นทอนการตรวจสอบและถ่วงดุล
ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดอำนาจที่ควบคุมไม่ได้ไม่ว่าจะมีกฎหมายกี่ฉบับ
เพราะการบังคับใช้กฎหมายก็จะเป็นไปตามคำสั่งและตีความของผู้มีอำนาจเท่านั้น
ภาพวันนี้ที่เห็นชัดคือคนไทยโดยทั่วไปอยู่ในภาวะอ่อนแอ ไร้ความหวัง ไร้อำนาจต่อรองใต้ “วัฒนธรรมพึ่งพา” ของนักการเมืองผู้มีอำนาจ
ขณะที่มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นแต่นักการเมือง “มาเคียเวลลี่” ที่กำลังกระชับอำนาจเพื่อสกัดกั้นความเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาทุกวิถีทาง
หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจังดั่งที่คนรุ่นใหม่เรียกร้องอย่างร้อนรน สังคมจะ “ระเบิดจากข้างใน” รุนแรงเพียงใด ก็สุดจะคาดเดาได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022