ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
ปรากฏการณ์ยานยนต์ไฟฟ้า ในสังคมโลก และไทย คงสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่อย่างต่อเนื่อง
แผนการควบกิจการครั้งใหญ่ระหว่าง Nissan และ Honda แห่งญี่ปุ่น เพิ่งมีขึ้นก่อนสิ้นปี (23 ธันวาคม 2567 ทั้งสองบริษัทแถลงการณ์ว่าได้ลงนามบันทึกความเข้าใจพิจารณาควบรวมกิจการ) ถือเป็นเรื่องตื่นเต้นและเป็นปฏิกิริยาโดยตรงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ BEV (Battery Electric Vehicle)
การผนึกกำลังกันของเครือข่ายยานยนต์ญี่ปุ่น ถูกมองว่านับเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก นับตั้งแต่มีการควบรวมกิจการกันระหว่าง Fiat Chrysler และ PSA ในปี 2564 ในสหรัฐอเมริกา
การควบรวมครั้งนี้ หากเป็นไป จะสร้างเครือข่ายธุรกิจยานยนต์ใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Toyota แห่งญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน และอันดับ 2 จากเยอรมนี-Volkswagen
ความเป็นไปเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจยานยนต์ดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น มาจาก BEV ทั้งจาก TESLA จากสหรัฐ และเครือข่ายหลายราย มาใหม่มาแรงจากจีน
จีน-ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงเวลานี้ ความนิยม BEV ที่ผลิตในประเทศ พุ่งสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ธุรกิจยานยนต์ต่างประเทศในนั้น ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะเครือข่ายจากญี่ปุ่น ต้องเผชิญกับปัญหาสต๊อกล้น
จนมีข่าวว่า ทั้ง Honda และ Nissan ต้องลดจำนวนพนักงาน ลดกำลังการผลิตลง
ขณะ Mitsubishi แทบจะเรียกว่าได้จะต้องถอนตัวออกจากจีน
แผนการควบรวม จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า จะเสริมความมั่นคงซึ่งกันและกัน สู่เป้าหมายการผลิตรถยนต์แบบ hybrid และ BEV อย่างเต็มที่ ด้วยบูรณาการการวิจัยและพัฒนา (R&D) และปรับปรุงฐานการผลิตเพื่อให้มีประสิทธิภาพในเชิงต้นทุนด้วย
สื่อญี่ปุ่นมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นเส้นเลือดสำคัญของระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น จำเป็นต้องปรับตัวให้มีพลวัต “For Japan, a threat to the auto industry is a threat to its economic lifeblood, as the country’s influence in once-key industries such as consumer electronics and chips has waned over the years.” (อ้างมาจาก Will Honda-Nissan tie-up deliver synergies in time to counter China? JAPAN TIMES Dec, 25, 2024)
ในภาพใหญ่ระดับโลกอย่างที่รู้กัน ยังคงเดินหน้าไปเป็นขั้นๆ เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตในอัตราเร่งในช่วงแรกๆ กำลังเข้าสู่ระยะสมเหตุสมผลมากขึ้น
กระแส BEV ทั่วโลกในปี 2567 มีการพัฒนาไปด้วยปัจจัยหลักประการหนึ่ง มาจากนโยบายส่งเสริมจากรัฐด้วยหลายประเทศทั่วโลกมีมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นโมเมนตัมมาต่อเนื่อง และดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
เช่น การลดภาษี การให้เงินอุดหนุน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีชาร์จ เป็นไปตามเป้าหมายหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในบางประเทศประกาศแผนการชัดเจน ที่จะห้ามจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในอนาคตอันใกล้
ขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีขนาดเล็กลง และมีราคาถูกลง มอเตอร์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพและขนาดเล็กลง ทำให้ BEV มีสมรรถนะที่ดีขึ้น ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ในนั้นมองเห็นบทบาท BEV จีน ที่มีตลาดของตนเองเป็นฐานอันกว้างใหญ่ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แสดงผ่านดัชนีที่จับต้องได้ ยอดขาย BEV ของจีน ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดย BYD เครือข่ายธุรกิจยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน สามารถครองยอดขายมากที่สุดในโลก แซงหน้า TESLA เป็นครั้งที่สองในไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ โดยเพิ่มขึ้นราว 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
ขณะ TESLA แม้มีการส่งมอบรถด้วยสถิติใหม่ราว 496,000 คันในไตรมาส 4/2567 แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย
ทั้งนี้ โดยรวมปี 2567 BYD มียอดขาย BEV ประมาณ 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ TESLA มียอดขายมากกว่า BYD เล็กน้อย ประมาณ 1.79 ล้านคัน เป็นตัวเลขที่ลดลงราว 1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ทั้งนี้ เป็นไปตามทิศทางที่ว่า จีน-ในฐานะผู้ผลิต และผู้ใช้ BEV อันดับ 1 ของโลก ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะตลาดทวีปอเมริกาเหนือ (สหรัฐและแคนาดา) คงอัตราเติบโตพอสมควร ส่วนยุโรปได้ชะลอตัวลง
ว่าในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียน การรุกคืบของ BEV จีน เป็นภาพที่เห็นอย่างจริงจังชัดเจน ถือว่าเป็นการคุกคามเครือข่ายยานยนต์ญี่ปุ่นโดยตรงในฐานะผู้ยึดครองตลาดมาอย่างเหนียวแน่นในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
ภาพนั้นสะท้อนผ่านสังคมไทยด้วย ในปี 2567 กับปรากฏการณ์ BEV เป็นเรื่องตื่นเต้นต่อเนื่อง (พิจารณาจากบทสรุป ยอดจดทะเบียนจากกรมขนส่งทางบก) ตามวงรอบปีงบประมาณล่าสุด (1 ตุลาคม 2565-30 ตุลาคม 2567) มีจำนวน 59,327 คัน แม้ดูจะน้อยกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว (2566) มีมากเป็นประวัติการณ์ถึง 76,314 คัน แต่ถือว่าไม่มาก ขณะปีก่อนหน้า (2565) มีเพียง 9,729 คัน นับเป็นอัตราการเติบโตอย่างน่าทึ่งอย่างต่อเนื่อง
ขณะในภาพใหญ่ (อ้างอิงถ้อยแถลงของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ยอดขายรถยนต์โดยรวมลดลงไปกว่า 25% จากสถิติช่วงคาบเกี่ยวกัน (มกราคม-ตุลาคม 2567) มียอดรวม 476,350 คัน ขณะที่การผลิตในประเทศทั้งหมด มียอดรวมส่งออกลดลงเช่นกัน ด้วยสถิติช่วงเดียวกันราว 1.2 ล้านคัน ลดลงจากปีก่อนประมาณ 20%
ทั้งนี้ BEV แสดงบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีสัดส่วนยอดขายรวมในประเทศเกือบ 12% โดยมีตัวเลขลดลงจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ เนื้อในตัวเลขข้างต้น BEV จีนสามารถครอบครองส่วนแบ่ง คิดอย่างคร่าวๆ มากกว่า 80%
โดยเฉพาะ BYD ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าจีนมาแรง เปิดตัวพร้อมๆ กับการลงนาม MOU ไปด้วย เป็นแรงส่งสำคัญให้ยานยนต์ไฟฟ้าจีนเติบโตอย่างมากในไทย โดยเห็นทิศทางตั้งแต่ปี 2566 ในช่วงปีที่ผ่านมา (มกราคม-ตุลาคม 2567) เฉพาะ BEV สามารถครองส่วนแบ่งการตลาด BEV นำโด่งได้มากถึงราวๆ 20%
ส่วน TESLA เปิดตัวในไทยเมื่อปลายปี 2565 ได้รับความสนใจอย่างมากๆ ด้วยเชื่อมโยงเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นที่สุดแห่งยุค อีลอน มัสก์ (Elon Musk) นักธุรกิจอเมริกันคนล่าสุดก็ว่าได้ ผู้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ เป็นกระแสและอิทธิพลระดับโลก โดยใช้เวลาไม่นานเลยในการก้าวเข้ามากับ Tesla Inc.
มาพร้อมกับรุ่งอรุณแห่ง BEV ในระดับโลก เริ่มต้นเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา จากจุดตั้งต้นการผลิต ณ โรงงานยักษ์ใหญ่ (Gigafactory) ในสหรัฐอเมริกา จากนั้นได้ขยายและข้ามพรมแดนครั้งแรก เปิด Gigafactory Shanghai สมทบเข้ากับจังหวะเวลา BEV จีนก้าวสู่กระแสโลก (ปี 2563) แล้วก็มาถึงไทย
ในปีที่ผ่านมา TESLA ทำยอดขายในไทย (มกราคม-ตุลาคม 2567) ได้ราว 3,500 คัน หรือครองส่วนแบ่งตลาด BEV เพียง 6%
นั่นเป็นปรากฏการณ์ “ผู้ทรงอิทธิพลใหม่” ในอุตสาหกรรมใหม่มาแรง มิติที่มีความสำคัญ มีนัยยะถึงการขยับปรับโครงสร้าง ทั้งระดับธุรกิจ และอุตสาหกรรมสำคัญๆ ในระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ เลยทีเดียว
เป็นภาวะท่ามกลางนโยบายส่งเสริมและมาตรการสนับสนุน ยังคงต่อเนื่องไป จากมาตรการ EV 3.0 และ 3.5 ด้วยการลดภาษีสรรพสามิต การให้เงินอุดหนุน และการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
มีการลงทุนจากบริษัทยานยนต์หลายแห่ง โดยเฉพาะจากจีน เพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยหวังว่าจะมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
ขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐาน ว่าด้วยสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
จากการเผชิญช่วงผันผวนในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแข่งขันอันดุเดือด โดยบรรดาคู่แข่งจากจีนด้วยกัน ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่ระยะสมดุลมากขึ้น ในทิศทางใหญ่ ยังคงเป็นไป •
วิรัตน์ แสงทองคำ | www.viratts.com
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022