ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ชาคริต แก้วทันคำ
เมื่อ ‘กลิ่น’ คือส่วนหนึ่งของลมหายใจ
ผีเสื้อจึงโหยหา…
ในเรื่องสั้น นั่งห้อยขาคร่ำครวญฯ
ผู้เขียนให้ ‘ฉัน’ หรือสรรพนามบุรุษที่ 1 (อายุ 18 ปี) เป็นผู้เล่าเรื่อง ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่พ่อเป็นทหารและชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว บ้านของฉันมีสภาพไม่ต่างจากเรือนจำที่กักขังฉันไว้ ฉันจึงไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรับภาระดูแลแม่และยายที่ป่วย ต่างจากพี่สาวที่มีชีวิตอิสระ มันทำให้ฉันเครียดและคิดสารพัดวิธีฆ่าตัวตาย เมื่อสุดท้ายจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ฉันจึงคิดหนีและแปลงกายเป็นดักแด้ พอได้กลิ่นปริศนา ฉันจึงกระพือปีก กลายเป็นผีเสื้อที่พุ่งตัวออกจากวงกบหน้าต่าง ทะยานสู่ท้องฟ้า
บทความนี้จะศึกษาเรื่องสั้น ‘นั่งห้อยขาคร่ำครวญที่วงกบหน้าต่าง ฉันได้กลิ่นหอมปริศนาระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นพยายามกวักมือเรียกฉัน…’ ของญาณทีโป ซึ่งเข้ารอบการประกวดรางวัลมติชนอวอร์ด 2024 ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 2303 วันที่ 4-10 ตุลาคม 2567
และล่าสุดได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง
โดยจะวิเคราะห์ใน 2 ประเด็น ดังนี้
เมื่อบ้านคือเรือนจำ
และการใช้ความรุนแรง
ในครอบครัวชายเป็นใหญ่
ภาระที่ต้องดูแลแม่และยายซึ่งป่วย ทำให้ฉัน ‘เหนื่อยฉิบหาย’ เพราะพ่อไม่เคยช่วยเหลือ จุดนี้อาจมองได้ว่าการดูแลคนป่วยควรเป็นเรื่องของลูกหรือผู้หญิง มากกว่าผัว ลูกเขยหรือผู้ชาย
เหตุดังกล่าวจึงผลักทุกอย่างให้ฉันซึ่งมีอายุ 18 ปี ที่ควรใช้ชีวิตอิสระ ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย คือการได้ออกจากบ้านไปเผชิญโลก
อีกทั้งอายุ 18 ปี ยังบ่งบอกถึงการเลือก (ตั้ง) ได้ครั้งแรกด้วย แต่ฉันกลับไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรให้ชีวิตในตอนนี้
ส่วนพี่สาวเป็นครูและอยู่ต่างจังหวัด เพราะถือว่าบรรลุนิติภาวะ มีการงานเป็นของตนเองแล้ว ต่างจากฉันที่ต้องอยู่ในความปกครองของพ่อแม่
ความเก็บกดจึงกลายเป็นปมชีวิตที่ทำให้ฉันติดแหง็กในบ้านที่เปรียบเสมือนเรือนจำ จนฉันต้องนั่งแกว่งขาคร่ำครวญที่วงกบหน้าต่าง
ผู้เขียนใช้วงกบหน้าต่างเป็นสัญลักษณ์ของกรอบหรือกรงที่ฉันไม่สามารถหนีออกไปได้ เพราะมีเหล็กดัดติดไว้ด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัยและป้องกันโจรขโมย ซึ่งเป็นเหตุผลความคิดของผู้ใหญ่
เมื่อฉันถามกลับว่า ‘หากไฟไหม้ล่ะ’ พ่อก็เลี่ยงที่จะตอบ ส่วนยายที่นอนติดเตียงก็ยึดติดกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วยการพูดแทรกว่า ‘มันอยู่ดีๆ จะไปถอดมันทำไม’
กลายเป็นว่าผู้ใหญ่ในบ้านนี้ไม่สนใจรับฟังหรือเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ความต้องการของฉัน ซึ่งผู้วิจารณ์มองว่า คำพูดของพ่อกับยายคือการไม่ยอมรับความคิดของคนรุ่นใหม่หรือการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ยังมองได้ว่า ความป่วยไข้ของแม่และยายล้วนเป็นเป็นพันธนาการที่จองจำทั้งสองคนไว้ในบ้าน มันอาจส่งต่อมาถึงฉันอีกก็ได้ การขาดอิสระทำให้ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมจำเจที่อาจดูปกติในสายตาคนในบ้าน แต่สำหรับฉันมันคือความไม่ปกติ จึงอยากหนี อยากตาย อยากเปลี่ยนแปลงบ้านให้สะอาดและน่าอยู่
ฉันจึงจินตนาการ ทั้งพาดบันไดและปีนไปบนหลังคา ก่อนจะวิ่งหรือพุ่งตัวไปในอากาศ ภาวนาให้วิญญาณคล้ายลม แปลงกายเป็นดักแด้ และผีเสื้อกระพือปีกทะยานสู่ท้องฟ้า
ผู้วิจารณ์มองว่า ฉันเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดแบบขบถ ไม่อยากอยู่ในกรอบที่ครอบครัวหรือสังคมกำหนดไว้แบบไม่รับฟังเหตุผล เพราะ “พวกผู้ใหญ่ไม่เคยพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่พวกฉันจะสื่อเลย” ยิ่งเมื่อรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ฉันก็จะเก็บกดจดจำ และจากเหตุการณ์ไขน็อตเหล็กดัดหน้าต่าง ก่อนจะถีบมันจนพังในคืนฝนตก จึงเป็นการโต้กลับระบบชายเป็นใหญ่รูปแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ พ่อผู้เป็นทหารก็มักใช้ความรุนแรงทั้งคำพูดและการกระทำต่อฉันกับแม่ ซึ่งฉันจดจำทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวและแม่ได้ ‘ไม่ได้ลืมเหมือนแม่…’ อีกยังรู้สึกเจ็บแค้นแทนด้วย
“แม่ถูกตบหน้าอีกหลายหน แต่ที่ตลกก็คือ รุ่งเช้าแม่จะลืมทุกอย่าง และกลับมาพูดคุยกับพ่อตามปกติ โรคร้ายทำให้แม่ทิ้งอดีตได้รวดเร็ว แม่ลืมไปว่าพ่อเคยเอาปืนจ่อหัวแม่เพราะหึงหวง เคยทุบตีแม่เพียงเพราะซื้อเหล้าผิดยี่ห้อจากที่พ่อสั่ง…”
ข้อความข้างต้น อาจตีความได้ว่า ครอบครัวนี้ยังยึดติดหรืออยู่ใต้ระบบชายเป็นใหญ่ ที่ห้ามผู้หญิงมีปากเสียง และยายก็ไม่เคยห้ามปรามหรือปกป้องแม่ มันจึงกลายเป็นการส่งต่อแนวคิดนี้จากรุ่นสู่รุ่น คือการเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้นำ ผู้หาเลี้ยงครอบครัว หรือผู้ออกคำสั่ง และการใช้ความรุนแรงของพ่อนอกจากแม่จะไม่โกรธหรือลืมทุกอย่างเมื่อรุ่งเช้ามาถึงแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเพราะโรคอัลไซเมอร์
แต่ผู้วิจารณ์มองว่า การลืมหรืออยากทิ้งอดีตนี้เป็นการยอมรับ จำนน หรือเสพติดความรุนแรงในครอบครัวแบบหนึ่ง ที่สะท้อนผ่านความป่วยไข้และตรรกะที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมต้อง ‘กลิ่น’
ความหมายและการกลายเป็นผีเสื้อ
การนั่งห้อยขาที่วงกบหน้าต่างและคร่ำครวญ หรือแขวนตัวเองยังขอบหน้าต่าง ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจตัวเอง สงบ รื่นรมย์ เป็นอิสระจากภาระที่ต้องทนแบกรับทั้งทางกายและใจเพียงคนเดียว
ผู้วิจารณ์มองว่า ‘ขา’ คือสัญลักษณ์ที่ใช้ก้าวเดินหรือข้ามผ่าน แม้ว่าฉันจะยังหลีกหนีหรือออกจากกรงขังหรือเรือนจำของบ้านหลังนี้ไปไม่ได้ แต่การนั่งห้อยขาหรือแขวนตัวเองยังขอบหน้าต่างที่เป็น ‘กรอบ’ (มีเหล็กดัด) คั่นไว้นั้น แสดงถึงการโหยหาอิสรภาพ
เมื่อฉันแปลงกายเป็นดักแด้ ด้วยการ “พันตัวเองด้วยผ้าห่มตั้งแต่หัวจรดเท้า กรี๊ดออกมาดังๆ หรือไม่ก็แอบร้องไห้ บางวันฉันพาร่างดักแด้มุดไปอยู่ใต้เตียง บางวันพาไปยืนพิงเสาบ้าน บางวันใช้สองเท้าเกาะขอบหน้าต่างและห้อยหัวลงมา”
ข้อความข้างต้น ความเก็บกดอดกลั้นจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ในครอบครัว ส่งผลให้ฉันแปรอุปลักษณ์เป็นความอัศจรรย์ โดยกลายร่างจาก ‘คน’ ไปเป็น ‘สัตว์’ ซึ่งผู้วิจารณ์มองว่าผู้เขียนอาจใช้วิธีการนี้เป็นทางออกของปัญหาในเรื่องสั้น ด้วยการกลายร่างแบบ ‘เมตามอร์โฟซิส’ ของฟรันซ์ คาฟกา มาใช้เพื่อสื่อนัยของความแปลกแยกที่เกิดขึ้นกับฉัน เพราะเรื่องความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือสังคม
อีกนัยหนึ่งอาจเป็นการอุบัติขึ้นหรือเกิดใหม่ เพื่อเปลี่ยนรูปกายเดิมไปสู่อีกรูปกายใหม่
คน—ดักแด้—ผีเสื้อ
ความน่าสนใจคือ ผู้วิจารณ์เห็นว่า การแปลงกายเป็นดักแด้เพื่อไปสู่การกลายร่างเป็นผีเสื้อโดยสมบูรณ์ในตอนจบ ไม่ใช่เกิดจากภาพฝันหรืออาการทางจิต (แม้ว่าในตัวบทจะบอกว่า “ทุกคนในครอบครัวต่างลงความเห็นว่าฉันตกอยู่ในกำมือของความวิกลจริตไปแล้ว” เท่ากับว่าใครคิดต่างถูกมองว่าบ้า) เพราะจากดักแด้ไปสู่ผีเสื้อ ที่กระพือปีกทะยานไปสู่ท้องฟ้านั้น เป็นการกลายจากคนไปสู่สัตว์ที่เรียนรู้เรื่อง ‘หนี’ หรือใช้ ‘ปีก’ แทนขา (มนุษย์) เพื่อสะท้อนความปรารถนาเสรีภาพนั่นเอง
ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏทั้งในชื่อเรื่องว่า ‘…ฉันได้กลิ่นหอมปริศนาระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นพยายามกวักมือเรียกฉัน…’ ผู้เขียนยังใช้ ‘กลิ่น’ แทนการเรียนรู้หรือรับรู้ผ่านความรู้สึก อารมณ์ ประสบการณ์ และความทรงจำต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้
อีกทั้ง ‘กลิ่นหอม’ ที่เป็นปริศนายังสื่อนัยถึงความเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจ ที่ผู้เขียนใช้แทนการโหยหาหรือต้องการชีวิตใหม่ ซึ่งนักอ่านต้องใช้จินตนาการและหยุดคิด โดยวิธีสังเกตโลกด้วยจมูก
ดังนั้น การ ‘กลาย’ จากดักแด้ไปเป็นผีเสื้อ และมีลักษณะกระพือปีก จึงเป็นการกลายร่างอย่างเต็มรูปแบบ โดยแสดงพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์ที่พร้อมจะบินออกจากวงกบหน้าต่างที่ไร้เหล็กดัดหรือกรงขัง ทะยานสู่ท้องฟ้าเพื่อเรียนรู้และเผชิญโลกกว้าง
เรื่องสั้น ‘นั่งห้อยขาคร่ำครวญที่วงกบหน้าต่าง ฉันได้กลิ่นหอมปริศนาระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นพยายามกวักมือเรียกฉัน…’ ของญาณทีโป นำเสนอประเด็นร่วมสมัย ทั้งการปะทะทางความคิดของคนรุ่นเก่าใหม่ที่ฉันไม่อยากให้ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น กับความขัดแย้งในใจที่ใช้บ้านเป็นกรงขัง
สะท้อนภาพของสังคมปัจจุบันผ่านความป่วยไข้และตรรกะที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมทำความเข้าใจและรับฟังสิ่งที่คนรุ่นลูกต้องการหรือสื่อสาร
โดยใช้กลิ่นและการกลายร่างเป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงถึงจุดยืน การเติบโตทางความคิด การลอกคราบ การกระพือปีกบินอย่างมีความหวัง ด้วยลมหายใจของตัวฉันเอง
เอกสารอ้างอิง
ญาณทีโป (นามแฝง). (2567). นั่งห้อยขาคร่ำครวญที่วงกบหน้าต่าง ฉันได้กลิ่นหอมปริศนาระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นพยายามกวักมือเรียกฉัน…เข้าถึงได้จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_804947
ปัทมา เจริญกรกิจ. (2566). สูด ‘กลิ่น’ เรื่องราวปลุกเร้าจินตนาการด้วยการ ‘ดม’. เข้าถึงได้จาก https://www.thekommon.co/rouse-the-imagination-by-smelling/
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022