เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์ / ฟุตบอลประเพณี

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ฟุตบอลประเพณี

บนหน้าจอของไทยรัฐทีวีเมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเป็นต้นไป ได้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 72

เป็นหนึ่งอีเวนต์ของสังคมชาวมหาวิทยาลัยที่จัดสืบทอดกันมานานจนถึงครั้งที่ 72 เรียกว่าคนที่จัดครั้งแรกอาจจะลาโลกไปหลายปีแล้วก็เป็นได้

ขึ้นชื่อว่า “ประเพณี” จึงเป็นการจัดกันทุกปี แต่เมื่อปีที่แล้วได้ว่างเว้นไปเนื่องจากอยู่ในช่วงของความอาลัยในการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9

ปีนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพ และเจเอสแอล ก็ได้มีส่วนในการควบคุมและสร้างสรรค์การแสดงในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันฟุตบอล และจัดงานเลี้ยงทั้งในคืนสุกดิบคือหลังการแข่งขันของ “โดมชรา กับ จามจุรีโรย” เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ กับหลังการแข่งขันใหญ่จบลง

ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้มีโอกาสไปเยือนบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์อีกครั้ง หลังจากไม่ได้ไปมานานนับสิบๆ ปี ได้แต่ดูถ่ายทอดทางทีวีบ้าง

ใครที่เคยชมฟุตบอลประเพณีรายการนี้คงจะนึกออกถึงบรรยากาศและส่วนประกอบต่างๆ ของงาน ที่ไม่ได้มีแค่การแข่งขันฟุตบอลเท่านั้น แต่จะเริ่มตั้งแต่ขบวนอัญเชิญสัญลักษณ์ของจุฬาฯ คือ “พระเกี้ยว” และของธรรมศาสตร์ คือ “ธรรมจักร” เข้ามา พร้อมวงดุริยางค์ที่มีดรัมเมเยอร์ หรือคทากรชายหญิงนำขบวน ให้ผู้ชมได้จับจ้องถึงรูปลักษณ์ การแต่งกาย ท่วงท่าลีลาการควงคทานั่น

สมัยก่อนถือว่าใครได้เป็นตัวแทนในการร่วมงานฟุตบอลประเพณีนี้ นับว่าเป็นเกียรติและชื่อเสียงอย่างมาก สังคมภายในรั้วมหาวิทยาลัยจะโจษขานกันถึงผู้ที่ได้รับเลือก เพราะต้องมีความพร้อมนานาประการ ไม่ใช่แค่สวยรูปร่างดีอย่างเดียว ชื่อเสียงก็ต้องดีไม่เสียหาย วางตัวในฐานะนิสิตนักศึกษาได้ดีมีความอดทนในการฝึกซ้อม เพราะไม้คทานั้นหนักเอาเรื่องทีเดียว เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาไม่ดีจะฟาดเอาหัวตัวเองได้

ไม่เท่านั้น สื่อมวชนจากภายนอกก็จะพลอยลงข่าวและพูดถึงผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ด้วย ซึ่งรวมถึงตัวแทนในการอัญเชิญพระเกี้ยวและธรรมจักรด้วยว่าเป็นใคร

ในขบวนจะมีการเดินของเหล่าศิษย์เก่าจาก 2 สถาบัน เรียกว่าจบไปหลายปีไม่เคยเจอกันก็มาได้เห็นกันอีกก็ในงานนี้ ซึ่งศิษย์เก่าของ 2 สถาบันนี้ก็ล้วนแล้วแต่ได้กลายมาเป็นผู้นำในสังคมและธุรกิจมากมาย จึงเหมือนเป็นการรวมเซเลบไปในตัว

อีกสีสันหนึ่งก็คือ เหล่าเชียร์ลีดเดอร์ชายหญิง ที่เหมือนเป็นดอกไม้หลากสีสันสร้างบรรยากาศของการเชียร์และรวมใจของศิษย์เก่า เบื้องหลังของงานที่ดูเหมือนชิลๆ นี้ เหมือนจะแค่แต่งตัวสวยๆ หล่อๆ มากระโดดโลดเต้นอยู่หน้าสแตนด์เชียร์เท่านั้น แต่ของจริงหนักหนาเอาการเพราะใครจะมาเป็นก็ต้องมีการคัดเลือก ที่ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็น “ความอึด” และ “ความแข็งแรง” เพราะซ้อมหนักมากราวกับฝึกทหารไปแนวหน้านั่นเทียว

มีซ้อมเช้า ซ้อมเย็น วันละหลายๆ ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ๆ ใครไม่แกร่งพอนี่ทรุดได้ง่ายๆ

และยิ่งมาเห็นการทำหน้าที่ในสนามแล้วก็ยิ่งชื่นชมน้องๆ อย่างมาก เพราะต้องแต่งตัวสวยที่เชื่อได้ว่าไม่สบายตัวแน่ๆ คงร้อนไม่น้อยเลย ยิ่งผู้หญิงต้องสวมรองเท้าส้นสูงอีกด้วย และสวมแล้วยืนเก๋ๆ เมื่อไรกัน แต่ต้องวิ่ง กระโดดโลดเต้นไปตั้งแต่งานเริ่มจนงานเลิก วันรุ่งขึ้นได้นวดน่องชัวร์

ยามที่เห็นน้องๆ วิ่งเรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมบนอัฒจันทร์ไปรอบๆ สนามแล้ว ถือว่าทำด้วยสปิริตจริงๆ นี่ไม่นับที่ต้องฉีกยิ้มกว้างอยู่ตลอดเวลา ห้ามทำหน้าเหนื่อยเป็นอันขาดอีกด้วย ไหนเครื่องสำอางที่พอกไว้ก็ลบเลือน มีเหงื่อไหลย้อยลงมาให้น่ารำคาญ

ต้องมีพี่เลี้ยงคอยซับคอยเติมให้เป็นระยะๆ

จุดเด่นที่หลายคนจับตาดูเป็นพิเศษ คือ ขบวนพาเหรดล้อการเมืองและสะท้อนสังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่และเป็นอนาคตของประเทศ ได้แสดงออกถึงมุมมองต่อสังคมในแง่มุมล้อเลียน ให้ได้ขำๆ อำๆ หยิกแกมหยอก พอเจ็บๆ คันๆ ไม่ได้ถึงขั้นตั้งใจกระทืบกันให้ตาย

ปีนี้ยังอยู่ในบรรยากาศของรัฐบาล คสช. และก็มีอายุของรัฐบาลย่าง 3 ปีกว่า ที่ตามวิถีแล้วเป็นช่วงที่รัฐบาลมีผลงานมาสักระยะทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจประชาชน มีปมด้อย ปมด่าง ให้สามารถหยิบมาสะกิดสะเกากันได้ไม่น้อย จึงถูกจับตาอย่างมากว่าขบวนพาเหรดล้อการเมืองปีนี้จะออกมาอย่างไร

ก่อนวันงาน ก็มีข่าวว่าทางรัฐบาลห้ามไม่ให้เล่นเรื่องนาฬิกาของบิ๊กป้อม แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่เห็นเป็นตามนั้น ในวันงานก็ไม่ได้มีใครมาตรวจเข้ม หรือห้ามไม่ให้ขบวนไหนแสดง ทีมงานของนักศึกษาเองก็สามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ

ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับรัฐบาลที่ไม่เข้มงวดเรื่องนี้ตามที่เป็นข่าว ไม่งั้นจะเสียมากกว่าได้

จะว่าไปแล้ว ผมว่าอาจจะมีที่เดียวในโลกก็ได้นะที่มีเวทีให้นักศึกษาได้แสดงออกถึงความคิดต่อรัฐบาลและสังคมเช่นที่เกิดขึ้นในงานฟุตบอลประเพณีนี้ ซึ่งของประเทศอื่นถ้าจะมีการแสดงออกในเชิงต่อต้านหรือด่าทอรัฐบาล ก็จะเป็นในรูปแบบของการเดินขบวนกันจริงๆ จังๆ นั่นเลย และลักษณะของการแสดงออกก็ออกในทางก้าวร้าวรุนแรง ไม่เหมือนกับในงานนี้ที่ออกแนวขำๆ อำๆ ล้อเล่นกันซะมากกว่า จบงานกันไปก็จบกัน ไม่ได้เอามาเป็นสาระอะไรกันมากความ

และดีเสียอีกที่มีเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงออกต่อสังคมอย่างสร้างสรรค์เช่นนี้

ซึ่งในยุคก่อนๆ ที่เทคโนโลยีทางการสื่อสารไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้ การแสดงออกในงานนี้จึงเป็นเหมือน “ไวรัลคลิป” ของโลกโซเชียลในปัจจุบัน ที่ถูกจุดขึ้นมาในสนามและทางหน้าจอทีวี แล้วคนก็รับเอาสารนั้นไปคิดไปพูดถึงและมีปฏิกิริยาต่อเนื่อง

พอมาในยุคที่โลกโซเชียลเป็นเครื่องมือแสดงออกอย่างง่ายดายกว้างขวางเช่นทุกวันนี้ เราได้เห็นความคิดถึงรัฐบาลและสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ทุกๆ วัน วันละหลายสิบคลิป จึงทำให้ขบวนพาเหรดล้อการเมืองของฟุตบอลประเพณีลดพลังไปไม่น้อยเลย เป็นผลพวงจากพฤติกรรมการเสพโซเชียลมีเดียของโลกปัจจุบันนั่นเอง

ส่วนไฮไลต์ของงานก็คือการแข่งขันฟุตบอล ที่ทุกปีก็จะขับเคี่ยวกันอย่างสนุก เพราะเป็นศักดิ์ศรีของสถาบัน ช่วงหลังๆ ได้มีการนำศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพจากสโมสรต่างๆ มาเล่นด้วย หลายคนก็มีดีกรีเป็นตัวทีมชาติกันเลย ก็ยิ่งทำให้การแข่งขันฟุตบอลเร้าใจมากขึ้น

บางเสียงบอกว่าการเอานักฟุตบอลอาชีพแม้จะเป็นศิษย์ของสถาบันจริงๆ มาเล่น อาจจะลดทอนสปิริตของการแข่งขันเพื่อความสามัคคีลงไป เพราะไปมุ่งเน้นที่ผลการแข่งขันมากเกินไป อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่มุมมอง

อย่างไรก็ดี ผลการแข่งขันในปีนี้จบสกอร์ที่ 1-1 เป็นการเสมอกันครั้งที่ 32 ซึ่งผลแพ้ชนะมีสถิติว่าธรรมศาสตร์เป็นฝ่ายชนะไป 24 ครั้ง และจุฬาฯ ชนะ 16 ครั้ง

เรื่องนี้ธรรมศาสตร์จึงเกทับได้มากหน่อย

อย่างที่เกริ่นไว้แต่ตอนแรกว่าผมไม่ได้ไปร่วมบรรยากาศในสนามจริงมานานแล้ว พอไปครั้งนี้ได้เห็นความคึกคักของการรวมพี่รวมน้อง ได้เห็นบรรยากาศที่ยิ้มแย้มหยอกเอินแซวกัน ได้ฟังเพลงสถาบันทั้งของจุฬาฯ และของธรรมศาสตร์ ทำให้เลือดของความเป็นสมาชิกของสถาบันสูบฉีดดีเหมือนกัน

ปีหน้าถ้าไม่ติดขัดอะไรก็ว่าจะไปอีก เพราะตามท่าทีของโรดแม็ปนั้น สงสัยในช่วงปลายเดือนมกราคม หรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จัดงานฟุตบอลประเพณีกันเป็นประจำทุกปี รัฐบาลของลุงตู่ก็น่าจะยังอยู่ และอาจจะอยู่ในช่วงปลายที่เข้มข้นเรื่องเลือกตั้งกันหนัก

ผมว่าพาเหรดการเมืองปีหน้าคงมีอะไรสนุกๆ ให้ได้ชมกันเป็นแน่

ทั่นนายกฯ รอชมไปพร้อมๆ กันนะครับผม