ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง |
เผยแพร่ |
ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต่างยอมรับกันว่า “อินเดียเที่ยวไทย” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
นักวิเคราะห์บอกว่าปัจจัยหลักที่ทำคนอินเดียมาไทย คือ “ความหลากหลาย” ทั้งแหล่งท่องเที่ยวกับธรรมชาติหลายลักษณะ รสชาติอาหารการกิน และอัธยาศัยไมตรีของคนท้องถิ่น นอกจากท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ยังมีโปรแกรมเดินทางมาเพื่อฉลองการแต่งงานและครบรอบวันแต่งงานเพิ่มมากขึ้น
หากมองย้อนไปในอดีตก็ต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อมากมายจากอินเดียที่เข้ามาผสมผสานในวัฒนธรรมไทย ทั้งความรู้และยาสมุนไพรก็ผสมผสานในวิชาการแพทย์แผนไทยไม่น้อย จึงไม่แปลกที่สรรพคุณตำรับยาและต้นไม้จำนวนมากจะมีสรรพคุณคล้ายๆ กัน แต่ในวันนี้จะเล่าสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หาได้ทั้งอินเดียและไทย มารู้จักกัน
กระเชา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Holoptelea integrifolia (Roxb.) Planch. มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Indian elm หรือ jungle cork tree และชื่อท้องถิ่นในไทย เช่น กระเชา (ภาคกลาง) กระเจา กระเจ้า (ภาคกลาง ภาคใต้) กระเจาะ ขจาว ขเจา ขะเจา (ภาคใต้) กระเช้า (กาญจนบุรี) กระเชาะ (ราชบุรี) กาซาว (เพชรบูรณ์) ขะจาวแจง ฮังคาว (ภาคเหนือ) พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างคาว (เชียงราย อุดรธานี ชัยภูมิ มหาสารคาม) ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
กระเชามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เอเชีย เช่น อินเดีย ศรีลังกา เนปาล เมียนมาร์ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ในประเทศไทยกระเชามีเขตการกระจายพันธุ์ในทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งทั่วไป บนที่ราบหรือตามเชิงเขาที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก
กระเชาเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 15-30 เมตร ลำต้นมักแตกง่ามใกล้โคนต้น ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนเบี้ยว มน มักเว้าเล็กน้อยตรงก้านใบเป็นรูปคล้ายหัวใจ ขอบเรียบหรือเป็นจักห่างๆ ช่อดอกออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ แยกเพศเป็นดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย บางครั้งก็มีดอกสมบูรณ์เพศปะปนอยู่บนช่อ วงกลีบรวมมี 5-6 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน กลีบแยกจากกัน เกสรเพศผู้ 3-9 อัน ผลรูปรี แบน มีปีกบางล้อมรอบ มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อัน ติดค้างอยู่ที่ส่วนบนสุด บริเวณปีกมีลายเส้นออกเป็นรัศมีโดยรอบ
กระเชาเป็นไม้โตเร็ว และทนไฟป่าได้ดี ผลดิบกินได้ เนื้อไม้สีเหลืองอ่อนหรือสีเทาอมเหลือง แข็งปานกลาง เมื่อแห้งแล้วเหนียวมาก ใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องกลึง แกะสลักได้ดี เปลือกใช้ทำเชือก กระดาษ และกระสอบได้ และมีการล่าวไว้ว่า เปลือกใช้บำบัดโรคเรื้อนสุนัข และเป็นยากันตัวไร แก้ปวดข้อ
ในเมืองไทย โดยเฉพาะภูมิปัญญาภาคเหนือของเรามีการใช้เปลือกและใบต้นกระเชา นำมาพอกเพื่อรักษาฝี บวม และอาการปวดตามข้อ ในฐานข้อมูลภูมิปัญญาของอินเดียบันทึกไว้ว่าเปลือกของต้นกระเชาใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ เมล็ดและแป้งของเปลือกต้นใช้รักษาโรคกลาก เปลือกและใบใช้รักษาอาการบวมน้ำ เบาหวาน โรคเรื้อนและโรคผิวหนังอื่นๆ โรคลำไส้ โรคริดสีดวงทวารและโรคฝี
นอกจากนี้ ในฐานข้อมูลของการใช้ประโยชน์จากพืชในเขตร้อน (https://tropical.theferns.info/ viewtropical.php?id=Holoptelea+integrifolia) กล่าวไว้ว่าส่วนของเปลือกนำมาเป็นยารักษาอาการไขข้ออักเสบ กลาก โรคผิวหนัง โรคเรื้อน แผลในกระเพาะ และพิษจากแมงป่อง เปลือกที่มีลักษณะเป็นเมือก นำมาต้มแล้วบีบคั้นเอาน้ำออกจากเปลือกนำมาใช้พอกบริเวณที่มีอาการบวม เนื่องมาจากไขข้ออักเสบ เปลือกที่คั้นเอาน้ำออกแล้วนำมาทำให้แห้ง บดให้เป็นผงแล้วนำมาพอกบริเวณที่ทายางเหนียวๆ ไว้
นอกจากนี้ เมล็ดและผงจากเปลือกยังใช้รักษากลากเกลื้อนได้ด้วย
ประเทศอินเดียยังศึกษาจริงจังว่ากระเชาเป็นพืชสมุนไพรอเนกประสงค์ที่ใช้ในระบบยาพื้นบ้าน ที่คนอินเดียใช้กันทั่วไป เช่น โรคเรื้อน โรคอักเสบ โรคกระดูกอ่อน โรคผิวหนังที่มีสีขาว โรคเรื้อนกวาง โรคไขข้ออักเสบ โรคกลากเกลื้อน โรคมาลาเรียและแผลเรื้อรัง และในการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของอินเดีย เขาสังเกตว่าต้นกระเชาออกลูกหรือให้ผลจำนวนมากในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม เขาจึงนำเมล็ดมาหีบเอาน้ำมัน ซึ่งมีประมาณ 37.4% แต่ในบางอุตสาหกรรมสามารถผลิตได้ถึง 50% และอินเดียทำงานศึกษาวิจัยพบว่าน้ำมันเมล็ดกระเชามีคุณภาพสูง นำมาบริโภคและใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ดี
สำหรับการศึกษาทางเภสัชวิทยาของกระเชา พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา แก้ปวด ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ถ่ายพยาธิ ต้านเบาหวาน ต้านท้องร่วง ปรับสมดุลในร่างกาย สมานแผล ปกป้องตับ แก้อาเจียน กดระบบประสาทส่วนกลาง และลดไขมันในเลือด และจากการวิเคราะห์ไฟโตเคมีแสดงให้เห็นว่ามีสารสำคัญ เช่น เทอร์พีนอยด์, สเตอรอล, ซาโปนิน, แทนนิน, โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, อัลคาลอยด์, ฟีนอล, ฟลาโวนอยด์, ไกลโคไซด์ และควินิน และสารสกัดจากใบที่สกัดด้วยเอทานอลมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบได้ผลดีมาก และสามารถทำลายเชื้อแบคที่เรียได้หลายชนิด
เช่น Klebsiella pneumonia ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคปอดบวม เชื้อ Staphylococcus aureus ที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนัง เป็นต้น
ไทยเรากำลังตามอินเดียมาเช่นกัน ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นำเอาภูมิปัญญากระเชามาพัฒนาต่อยอด ในเบื้องต้นนำส่วนของเปลือกมาศึกษาประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังในสุนัข พบว่าได้ผลดี ต่อมาได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการใช้เปลือกและใบ พบว่าการใช้ใบให้ผลดีกว่า และเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายกว่า จึงเปลี่ยนเปลือกมาใช้ใบแทน ทราบว่าขณะนี้ได้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายแล้ว
แม้ว่าภาคธุรกิจสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมาน้องแมวจะใหญ่โต แต่ภาคอาหาร ยาสมุนไพรและเครื่องสำอางกว้างใหญ่มาก ดูอินเดียแล้วมาพัฒนาบ้านเรากันนะ •
สมุนไพรเพื่อสุขภาพ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง
มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022