กินลม ชมเกาะ (1)

ญาดา อารัมภีร

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายในคำนำ “นิราสตังเกี๋ย” ของ นายแวว (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงนรเนติบัญชากิจ ในกองข้าหลวงพิเศษ) ไว้ดังนี้

“ด้วยเมื่อปีกุญ พ.ศ.๒๔๓๐ ฝรั่งเศสจะปราบปรามพวกฮ่อทางเมืองตังเกี๋ย การคาบเกี่ยวแก่พระราชอาณาเขตร ในเวลานั้นรัฐบาลฝรั่งเศสขอให้มีข้าหลวงไทยไปด้วยกับกองทัพฝรั่งเศส เพื่อให้เปนการสดวกทั้ง ๒ ฝ่าย”

“(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดข้าหลวงกอง ๑ พระไพรัชพากย์ภักดี ทวน บุนนาค กระทรวงต่างประเทศเปนหัวหน้า หลวงคำณวนคัคนานต์ ศรี ปายะนันท์ กรมแผนที่ ซึ่งบัดนี้เปนพระยาคำณวนคัคนานต์ กับนายบรรหารภูมิสถิตย์ เผื่อน กรมแผนที่ เปนข้าหลวงรอง รวมเปนข้าหลวง ๓ นาย ขุนปราบชลไชย ชุน ล่าม ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเปนหลวงขจรธรณีนาย ๑ นายแวว กระทรวงต่างประเทศเปนเลขานุการสำหรับจดหมายเหตุนาย ๑ รวมเปน ๕ นาย ไปราชการครั้งนั้น”

(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

“นิราสตังเกี๋ย” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) บรรยายถึงการออกเดินทางด้วยเรือกำปั่น (ซึ่งเป็นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หัวเรือเรียวแหลม ท้ายเรือมนและราบในระดับเดียวกับหัวเรือ) เป็นเรือกลไฟเดินด้วยกำลังเครื่องจักรไอน้ำ

ดังที่ใช้ข้อความว่า ‘เรือกำปั่นขันจักร์’ และ ‘เรือกลไฟใช้จักร์’ เรือลำนี้มีผู้โดยสารทั้งไทยและเทศ

“แล้วก็ลงเคหามาวันนั้น ขึ้นกำปั่นเมล์หน้าโรงภาษี

พร้อมกับพระไพรัชจัดคดี ท่านเปนที่ข้าหลวงกระทรวงนาย

กับท่านหลวงคำณวนควรขนาน นายบรรหารภูมเพิ่มเฉลิมฉาย

พนักงานแผนที่มีอุบาย รู้แยบคายวัดประเทศเขตรนคร

ท่านขุนปราบปราชญ์ญวนเปนส่วนล่าม รู้ข้อความพจนาอุทาหรณ์

อีกตัวเราเปนเสมียนเขียนสุนทร เรียงอักษรส่งรีโปตโปรดประจำ (รีโปต/report = รายงาน)

 

นายแววได้ขอพระบารมีรัชกาลที่ 5 เป็นที่พึ่ง และขอพรพระสมุทรเจดีย์

“บังคมบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม

จงคุ้มไภยไปเปนสุขทั่วทุกนาม ให้มีความพูลสวัสดิ์พัฒนา

เรือกำปั่นขันจักร์ออกพักใหญ่ แสงอุไทยรุ่งรางสว่างหล้า

ถึงสมุทเจดีย์มีสมญา ไหว้วันทาขอพรเมื่อจรทาง”

“นิราสตังเกี๋ย” บรรยายสถานที่ที่เรือผ่าน เริ่มจากป้อมผีเสื้อสมุทรตั้งอยู่บนเกาะในแม่น้ำเจ้าพระยา ทางด้านใต้ขององค์พระสมุทรเจดีย์ ปัจจุบันป้อมนี้อยู่ในเขต จ.สมุทรปราการ

“เห็นป้อมผีเสื้อสมุทสุดสง่า มีปืนผาสารพัดไม่ขัดขวาง

แม้นศัตรูคิดร้ายคงวายวาง ยิงหักกลางจมยับไม่กลับคืน

ทุกวันนี้บ้านเมืองรุ่งเรืองมาก ปราศจากข้าศึกไม่คึกขืน

แต่สร้างไว้ให้จิรังอยู่ยั่งยืน ตั้งบอกปืนเรียงรายใบเสมา”

หกปีต่อมาหลังจากมีวรรณคดีเรื่องนี้ ป้อมผีเสื้อสมุทรเคยยิงต่อสู้เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำที่ล่วงล้ำเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา

แม้ยามค่ำคืนการเดินทางออกปากอ่าวไทยก็ราบรื่น เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงสนับสนุนให้มีตัวช่วย คือ เรือโคมกระโจมไฟ เป็นแสงไฟนำทางสำหรับชาวเรือ คอยส่องสว่างอำนวยความสะดวก

“เห็นเรือโคมกระโจมไฟอยู่ในน้ำ ลอยประจำคลื่นซัดตุปัดตุเป๋

อยู่ตามร่องน้ำไหลให้คะเน ถ้าเรือเหเข้าไปติดผิดลำราง

ด้วยทรงพระกรุณาเรือค้าขาย สู้จ้างจ่ายราชทรัพย์นับกระถาง

ทำให้แจ้งแห่งหนชลทาง เวลากลางคืนค่ำจึงตามไฟ”

 

เมื่อเรือกำปั่นแล่นถึงเกาะสีชัง ก็เริ่มรับประทานอาหารฝีมือกุ๊กประจำเรือ ที่โต๊ะอาหารจัดไว้เฉพาะคณะขุนนางไทย มีบ๋อยคอยบริการเสิร์ฟ อาหารเป็นข้าวสวย และขนมปังกินกับแกงกะหรี่ มีผลไม้ เช่น กล้วย ส้ม รวมทั้งเหล้า และบุหรี่พร้อมสรรพ

“เจ้าพวกบ๋อยอานำที่ทำกุ๊ก หุงเข้าสุกซุปกระหลี่มีโต๊ะตั้ง

เล่าแกแรตกล้วยซ่มขนมปัง เชิญให้นั่งกินสดวกแต่พวกเรา”

คณะขุนนางไทยที่สวมใส่เครื่องแต่งกายเหมือนชาวยุโรป ยังไม่ชินภาษาที่ฝรั่งพูดกัน ฟังอยู่นานไม่เข้าใจ แม้ไม่กล้าพูดอะไรได้แต่นั่งสั่นหัว แต่ก็มีวิธีเอาตัวรอด

“ฝรั่งเดินไปมาพูดจาพล่ำ ฟังยังค่ำไม่รู้จักว่ากั๊กเหมง

จะส่งภาษาสักคำก็ยำเกรง อายกังเกงที่เราใส่ไว้กับตัว

ใครไม่รู้ดูเหมือนชาวยุรป แต่งเครื่องครบขัดฟันนั่งสั่นหัว

ถึงอย่างนั้นเราใจยังไม่กลัว ถ้าจวนตัวทำใบ้พอได้การ”

โชคดีที่คุณพระหัวหน้าคณะ หรือ ‘พระไพรัชพากย์ภักดี’ จากกระทรวงต่างประเทศเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ สามารถสื่อสารกับกัปตัน ต้นหน และคนงานที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้เข้าใจกัน กัปตันจึงเป็นธุระช่วยดูแลการกินอยู่ ทำให้คณะขุนนางไทยได้รับความสะดวกสบาย

“แต่คุณพระทราบชัดสนัดคิด พูดอังกฤษเจนภาษาอาวสาน (สนัด = ถนัด)

แต่กัปตันต้นหนล้วนคนงาน เปนชาติชาญฝรั่งเศสผิดเพษกัน

ท่านยังพูดรู้ภาษาอัชฌาไศรย เหมือนรักใคร่กันสนิทไม่บิดผัน

จนพวกเราค่อยสบายนายกัปตัน เขาจัดสรรกินอยู่คอยดูการ ฯ”

 

ระหว่างเดินทางนายแววได้ถ่ายทอดทัศนียภาพของเกาะต่างๆ ในน่านน้ำไทยไว้อย่างชัดเจน มีเกาะน้อยใหญ่สมัยเมื่อ 130 กว่าปีมาแล้วเรียงรายตามลำดับที่เรือแล่นผ่าน หลายต่อหลายเกาะยังมีอยู่ในปัจจุบัน บางเกาะชื่อเรียกขานเปลี่ยนแปลงไป เช่น เกาะสามมือยื้อ เข้าใจว่าน่าจะเป็นเกาะเดียวกับ ‘เกาะสัมปันยื้อ’ หรือ ‘เกาะสัมปะยื้อ’ สมัยนี้ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสีชัง นายแววเล่าถึงเกาะนี้ว่า

“๏ เห็นเกาะสามมือยื้อชื่อพิฦก จดบันทึกไว้ให้แจ้งแสดงสาร

นี่ใครหนอช่างมายื้อมือบุราณ มันเกิดการแสนตะกลามถึงสามมือ”

คำว่า ‘ยื้อ’ หมายถึง แย่งด้วยอาการฉุด ใช้แรงยุด หรือดึงไปมา ใช้สองมือยื้อก็แย่เต็มที แต่นี่มีถึงสามมือช่วยกันฉุดนางไป กวีมีแค่สองมือ แรงน้อยกว่าจะสู้อย่างไรไหว ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจที่ทำอะไรไม่ได้

“๏ คิดถึงนุชสุดวิตกหัวอกหญิง ถูกมือติ่งมันมาฉุดคงหลุดปรื๋อ

เราจะต้องกำหมัดอยู่ฮัดฮือ เขาสามมือจะต้องได้เอาไปครอง ฯ”

บางทีกวีก็เล่นความหมายชื่อเกาะ เช่น เกาะขาม สมัยนี้มีทั้งเกาะขามใหญ่ และเกาะขามน้อย เป็นเกาะบริวารของเกาะสีชัง

“๏ เห็นเกาะขามนามดีค่อยมีจิตร คงจะคิดกลัวเราเปนเจ้าของ

ขอให้ขามเหมือนเกาะเหมาะทำนอง อย่าหมายปองสีนวนที่ชวนแล ฯ”

‘ขาม’ ในที่นี้มิใช่ มะขาม แต่หมายถึง คร้าม เกรง หรือกลัว ใช้คู่กันเป็นเกรงขาม ความหมายเดียวกัน เมื่อเห็นเกาะขาม นายแววขอให้ชายอื่น ‘ขาม’ หรือ ‘กลัว’ ไม่กล้ามายุ่งกับสาวที่ตนรัก

 

นอกจากนี้ สภาพเกาะล้านในทะเลอ่าวไทยที่อยู่ใน “นิราสตังเกี๋ย” เป็นเกาะที่มองไม่เห็นบ้านคน ต่างจากปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขต อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เกาะล้านอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งเมืองพัทยา กวีตั้งข้อสังเกตว่าที่ได้ชื่อนี้น่าจะเป็นเพราะยอดเขาสีแดงบนเกาะมีลักษณะโล้นเลี่ยน ต้นไม้ขึ้นหร็อมแหร็ม

“๏ เห็นเกาะล้านแลออกลิบสักสิบเส้น มองไม่เห็นบ้านที่ไหนไกลกระแส

เออใครหนอน่าขันมาผันแปร ฤๅเรียกแก้เกาะเรื่องให้เปลืองตัว

แต่ที่จริงยอดเขาเปนเงาล้าน ดูแดงด้านเลี่ยนโล้นเหมือนโกนหัว

ทั้งพฤกษาไม่งอกดังหนอกวัว แต่ไม่ทั่วไปทั้งภูดูเปนวง

เออแต่เขายังล้านกระบานหิน มันไม่สิ้นหลากจิตรพิศวง

ฤๅมีของกายสิทธิ์ฤทธิรงค์ จำเพาะลงมากินดินคีรี

เขาจึงเรียกเกาะล้านนานตั้งกัป ช่างอาภัพหมดชะตาแลราศี

แม้นผู้คนอาไศรยใจไม่ดี ต้องทิ้งที่เกาะล้านประจานตน ฯ”

บางเกาะมีตำนานความเป็นมาน่าสนใจ ฉบับหน้าอย่าพลาด •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร