ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พาราตีรีตีส
ประเทศเทาๆ?
พ้นปีใหม่ไปไม่นาน ก็มีประเด็นเทาๆ ข้ามชาติ เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย แบบอยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาให้ได้แต่สงสัย จนพอรับรู้เรื่อยๆ ก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับเกิดคำถามว่า ประเทศนี้ยังมีขื่อมีแปอยู่หรือเปล่า
เราปล่อยปละละเลยให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง
ความเป็นนิติรัฐของไทย ยังน่าเชื่อถือได้ไหม หรือยังถดถอยตกต่ำได้อีก
อบรมตำรวจอาสาคนจีน
หาช่องแทรกแซง
หรือ หากินทางมิชอบ
เป็นเรื่องที่ถูกเปิดเผยโดย ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ “แจม” ส.ส.พรรคประชาชน หลังได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวในวงตำรวจถึงการจัดอบรมตำรวจอาสาสมัครคนจีน ที่จัดอบรม 3 วัน จ่ายคอร์สละ 38,000 บาท พออบรมจบก็ได้ทั้งตราตำรวจแบบห้อยคอ ประกาศนียบัตร และบัตรหน่วยราชการที่ออกให้ผู้อบรมชาวจีนแบบเป็นเรื่องเป็นราว
เรื่องของเรื่องคือ พอสืบลึกลงไป การจัดอบรมนี้ จัดทำโดยที่เบื้องบนไม่รู้ และอาจารย์ที่ร่วมจัดโครงการ เป็นอาจารย์ชาวจีนทำงานให้กับมหาวิทยาลัยสยาม ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้แถลงปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการอบรมนี้ จึงเกิดคำถามว่าจัดไปเพื่ออะไร แล้วเงินที่เก็บกับผู้เข้าอบรม สุดท้ายไปอยู่ตรงไหน
ผู้เขียนได้คุยกับ ส.ส.แจม เพิ่มเติม โดยได้ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยที่ส่งมาว่า เริ่มขึ้นจากตัวกลางที่เป็นนักธุรกิจชายชาวจีน มีตำแหน่งเป็นถึงประธานสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน (TCBU) นักธุรกิจคนนี้รู้จักกับนายตำรวจไทย 2 นายที่เป็นข่าวและได้คุยกับสถานทูตจีน สถานทูตแนะนำให้รู้จักกับอาจารย์ชาวจีนคนดังกล่าว นำไปสู่การจัดอบรมตำรวจอาสาสมัครนี้ขึ้น อาจารย์ที่ร่วมจัดก็เอานักศึกษาจีนไปเข้าอบรม แต่คนที่อัดคลิปอบรมแล้วโพสต์ขึ้นโซเชียลนี้ ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องมากแค่ไหน
ส.ส.แจมยังกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ต้องเรียกร้องให้ ผบ.ตร. และนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อกอบกู้ความน่าเชื่อถือขององค์กรตำรวจ
สิ่งนี้เป็นจิ๊กซอว์ที่ขยายผลไปยังโครงการที่ทำแบบลับๆ เพื่อหาประโยชน์ในทางที่ผิด
แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การให้คนจีนมาอบรมและแต่งชุดเครื่องแบบ และอาจถึงขั้นทำหน้าที่เหมือนตำรวจไทย ตำรวจไทยกำลังด้อยค่าตัวเองอยู่หรือไม่ หากต้องการคนที่พูดภาษาจีนคุยกับคนจีน ก็หาคนไทยที่เชี่ยวชาญภาษาจีนกลางได้
และคุณสมบัติหนึ่งของผู้เข้ารับราชการคือ ต้องถือสัญชาติไทย เป็นที่รู้กันว่า ไทยขึ้นชื่อว่ามีขั้นตอนขอสัญชาติยากและนาน แต่พอมีข่าวทางลัดซื้อสัญชาติ ซื้อพาสปอร์ตสวมเป็นคนชาตินั้นๆ ก็น่าคิดด้วย
แต่การให้คนจีนที่อบรมไม่กี่วันแล้วได้สวมเสื้อผ้าคล้ายเครื่องแบบ ใช้ตราตำรวจ ถ้าเกิดมีข่าวตำรวจใช้อำนาจข่มเหงคนต่างชาติแล้วสืบมาว่าเป็นคนต่างชาติใส่ชุดเจ้าหน้าที่ หากพอเป็นเรื่องหาผลประโยชน์ จะยิ่งมลทิน สร้างความเสื่อมเสียต่อองค์กรตำรวจ และระบบนิติรัฐของไทยให้แย่ลง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหาผลประโยชน์หรือถูกจัดฉาก แต่ก็ทำให้คิดถึงข่าวก่อนหน้านี้ที่เคยมีข้อเสนอจะเอาตำรวจจีนมาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวในความมั่นคงของชาติ และโยงกับข่าวการตั้งสถานีตำรวจลับของจีนในต่างแดน ล่าสุดคือ พบที่ตั้งสถานีตำรวจลับในย่านไชน่าทาวน์บนเกาะแมนฮัตตันเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่แล้ว ซึ่งถูกใช้เพื่อชี้เป้านักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาธิปไตยชาวจีนในสหรัฐ
หากเกิดคนต่างชาติเข้าถึงกลไกอำนาจรัฐได้เพื่อใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด จนถึงขั้นแทรกแซงหรือสืบหาข้อมูล ทั้งที่เป็นข้อมูลลับจนถึงข้อมูลประชาชน สิ่งนี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน อำนาจอธิปไตยของชาติ และความน่าเชื่อถือของประเทศ
เป็นอะไรที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
จุดแรกรับสแกมมิ่ง
เรื่องเทาๆ ข้ามแดนในไทยอีกเรื่อง คือสแกมมิ่ง ซึ่งกลายเป็นปัญหาระดับโลกแล้ว และไทยถูกโยงกับเรื่องนี้ เพราะไทยอยู่ใกล้กับรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตรงชายแดนไทย-เมียนมา อย่างเคเค-พาร์ตและชเวก๊กโก ใกล้กับเมืองเมียวดีตรงข้ามกับ อ.แม่สอด ไม่นับที่อื่นอย่างฐานช่องผา หรือฐานพญาตองซู ตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ และคนไทยตกเป็นเหยื่อสแกมมิ่งหลายรูปแบบจนสูญเงินไปหมื่นล้านบาท ที่หนักกว่านั้นคือ ไทยคือจุดแรกรับคนจากหลายประเทศทั่วโลกที่หลงเชื่อว่าจะได้งานทำ แต่พอถึงไทยกลับถูกส่งข้ามแดนไปยังเมียนมา ก่อนจะรู้ตัวภายหลังว่าเป็นเหยื่อแรงงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว
ล่าสุดเกิดขึ้นกับ “ซิงซิง” นักแสดงชาวจีน เกิดหายตัวไประหว่างเดินทางมาไทยจนออกข่าวในจีน ทำเอารัฐบาลไทยรีบขอให้เคลียร์เพราะเกรงกระทบการท่องเที่ยว
ล่าสุด ซิงซิงได้ข้ามกลับไทยในวันที่ 7 มกราคม จากการช่วยเหลือทั้งกองกำลังฝั่งเมียวดีและทางการไทย
“ซิงซิง” เปิดเผยว่า ตัวเองโดนหลอกให้มาไทยเพื่อรับงานแสดง แต่กลับถูกส่งไปเมียนมาไปบังคับทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเรื่องเริ่มต้นจากการแชตกับคนจีนใน We Chat ที่อ้างชื่อบริษัทบันเทิงชื่อดังของไทย ว่าจ้างให้มาแคสงาน แต่ต้องมาที่ไทยเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อเดินทางข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านและใช้ช่องทางธรรมชาติเข้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไม่ใช่ทั้งเคเค-พาร์ตและชเวก๊กโก
พอไปถึงก็ถูกโกนหัวและส่งไปยังอาคารเพื่อฝึกพิมพ์ดีด มีคนจีนอยู่ในนั้นร่วม 50 คน ต่อมาเริ่มรู้แล้วว่า ไม่ใช่งานแสดง และอาจเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ ก่อนถูกพาไปอาคารที่ 3 และมีการช่วยเหลือออกมา และยืนยันว่าไม่ได้มาหาญาติที่ชเวก๊กโก
นับเป็นข่าวดีที่นักแสดงจีนได้รับการช่วยเหลือ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อและถูกทารุณกรรม และคนไทยก็คาดหวังว่า รัฐบาลไทยจะใส่ใจช่วยเหลือประมงไทยที่ยังคงถูกขังอยู่ที่เมียนมาด้วยเช่นกัน
คําถามจากกรณีเหล่านี้คือ เกิดอะไรขึ้นกับไทย ไทยกลายเป็นที่ก่ออาชญากรรมทั้งในประเทศและข้ามชาติมากแค่ไหน มีอีกหลายเคสที่ยังไม่เป็นข่าวอีกเท่าไหร่ ไม่นับเหตุสะเทือนขวัญอย่างการลอบสังหาร “ลิม คิมยา” อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชากลางย่านบางลำพูอย่างอุกอาจเมื่อ 7 มกราคมที่ผ่านมา
ระดับการก่ออาชญากรรมทั้งภายในและข้ามชาติ การบังคับใช้กฎหมาย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยและนักท่องเที่ยว ความโปร่งใสในหน่วยงานยุติธรรม เป็นตัวชี้วัดระดับความเป็นนิติรัฐของไทยว่า เราน่าเชื่อถือแค่ไหนในสายตาคนนอก คำครหาที่เรามักได้ยิน เช่น เงินมาข้อหาหลุด คุกมีไว้ขังคนจน เส้นใหญ่พ้นผิดลอยนวล เชื่อว่าสังคมไทยต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง ลบภาพจำแย่ๆ ออกให้หมด
ถ้าไม่เร่งปฏิรูปทั้งระบบ ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022