ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข
สงครามภาคใต้ 2568!
การต่อสู้ยุคหลังคดีตากใบ
“ข้าศึกทำผิดพลาดได้ เช่นเดียวกับที่บางครั้งเราเองก็ผิดพลาดไป และบางครั้งก็เปิดช่องโหว่ให้ข้าศึกฉวยเอาไปเป็นประโยชน์”
สรรนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตุง
สงครามและความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่เปลี่ยนแปลงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นการย่างเข้าสู่ปีที่ 22 ของการปล้นปืนในวันที่ 4 มกราคม 2547 และตามมาด้วยการก่อเหตุของขบวนติดอาวุธ “BRN” ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องด้วยกำลังอาวุธเพื่อให้ 3 จังหวัดดังกล่าวเป็น “รัฐเอกราชใหม่” ในภูมิภาค
ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชด้วยการก่อการร้ายที่เกิดในพื้นที่นั้น ยังมีนัยกับเหตุการณ์สำคัญอีกชุดคือ การสิ้นสุดผลทางกฎหมายของคดีตากใบในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ประกอบกับในภาวะเช่นนี้ ยังมีสถานการณ์ต่างๆ ตามมาอย่างน่าสนใจ
สภาวะเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเป็นพื้นที่ของการก่อเหตุ การปลุกระดม การบ่มเพาะที่ไม่จบ ดังนั้น บทความนี้จะขอนำเสนอข้อสังเกตสำหรับปีใหม่ 2568 ดังนี้
1) หลังจากการสิ้นสุดของคดีตากใบในทางกฎหมายแล้ว ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่า จะยังคงมีการนำประเด็นคดีตากใบมาใช้เปิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อเนื่อง เพราะการเรียกร้องเอกราชจำเป็นต้องมีประเด็นทางการเมืองรองรับ เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวนี้มีความชอบธรรมในสายตาของสมาชิก แนวร่วม และเวทีสากล
2) ไม่ว่าคดีตากใบจะยุติลงในแบบใด ก็จะเป็นประเด็นให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้เสมอ แม้อาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันจากเงื่อนไขของคดี เช่น ถ้าจำเลยไม่มาศาล การเคลื่อนไหวจะเน้นในการเปิดประเด็นว่า รัฐไทยไม่ให้ความยุติธรรม หรือรัฐไทยละเลยความยุติธรรมของคนในพื้นที่
3) แต่ถ้าจำเลยมาศาลด้วยการตัดสินใจสู้คดี ก็ใช้ตัวคดีในศาลเป็นประเด็นการเคลื่อนไหวในตัวเอง เพราะประเด็นที่ใช้ในการฟ้องจะเป็นโอกาสให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้เป็นอย่างดี
4) ดังที่ทราบกันว่าในที่สุดแล้วจำเลยไม่ปรากฏตัวในศาล ทำให้เกิดประเด็นเพื่อใช้ในการโฆษณาการเมืองอย่างดีอีกด้วยว่า รัฐไทยไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และไม่ทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมในคดี ทั้งที่การรื้อฟื้นคดีเกิดในระยะช่วงปลายทางนั้น มักกลายเป็นโอกาสให้จำเลยในเงื่อนเวลาที่เหลือน้อยใช้วิธี “หนีคดี” มากกว่า “สู้คดี” เพราะจำเลยโดยทั่วไปมีความเชื่อว่า การหนีย่อมเป็นโอกาสให้ “รอดคดี” มากกว่าแทนการต่อสู้ในศาล เนื่องจากเวลาที่เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน (ไม่ได้มีเวลาในคดีเหลือเป็นหลายเดือน หรือเป็นปีแต่อย่างใด จนทำให้การหนีคดีเป็นปัญหา)
5) น่าสนใจอย่างมากว่า ทำไมการรื้อฟื้นคดีเพิ่งมาเกิดในช่วงปลายสุดสุด ที่แทบจะเป็นสุดปลายทางของคดี (ที่มีระยะเวลาเหลือน้อยมาก) และแปลกที่ไม่มีความพยายามในการรื้อฟื้นในสมัยก่อนหน้านี้ ทั้งที่ยังมีเวลาเหลืออยู่มาก เช่นในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่มาก ซึ่งจะเป็นแรงบีบให้จำเลยอาจต้องยอมขึ้นศาล เพราะการหนีจะมีระยะเวลาอีกนานกว่าคดีจะสิ้นสุด และหลายคนไม่มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจให้หลบหนีได้นานแต่อย่างใด (มีแต่เพียงผู้ก่อเหตุร้ายเท่านั้นที่หลบหนีได้นาน ด้วยความช่วยเหลือของขบวนการ BRN และมีที่พักพิงในบางประเทศที่อยู่ใกล้ชิดกับประเทศไทย)
6) ในทำนองเดียวกัน มีการหลบหนีคดีของผู้ก่อเหตุที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม BRN เป็นจำนวนมาก แต่ดูจะไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสาธารณะเท่าที่ควร และไม่ได้รับความสนใจในเวทีสาธารณะด้วย ซึ่งในกรณีนี้น่าจะมีเสียงเรียกร้องคู่ขนานให้ผู้ก่อเหตุที่หลบหนีเข้ามอบตัวและสู้คดี
7) ในการนี้ มีข้อเสนอให้นำคดีตากใบที่หมดอายุความแล้วไปฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีที่ลงนามในการเป็นสมาชิกของ ICC และกระบวนการฟ้องคดีก็มีขั้นตอนต่างๆ อยู่มากพอสมควร และแตกต่างจาก “คดีอิสราเอล-ฮามาส” อย่างมากด้วย การเสนอประเด็นนี้เป็นเพียงการสร้างภาพให้เป็น “หัวข่าว” ในสื่อ ซึ่งไม่มีผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
8) ความจริงแล้ว รัฐบาลไทยต่างหากที่ควรเป็นผู้ฟ้องคดีกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน BRN ในเวทีระหว่างประเทศ เพราะกลุ่มนี้ได้ปฏิบัติการก่อการร้าย ตลอดรวมถึงการสังหารประชาชน และเจ้าหน้าที่ ทั้งที่เป็นพุทธและมุสลิมเป็นจำนวนมาก และหลายคดีเป็นการก่อเหตุอย่างรุนแรงและโหดร้าย
ในกรณีนี้ รัฐบาลไทยควร “เปิดโปง” ให้เวทีสากลรู้ถึงการก่อเหตุร้ายของกลุ่ม BRN ที่ฆ่าอย่างทารุณและวางระเบิดต่อเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดทั้งกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของกลุ่มนี้คือ “คุยไป-ฆ่าไป/ฆ่าไป-คุยไป”
9) การเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมากนี้ ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นสาธารณะ หรือกลุ่มสิทธิฯ ที่ทำงานเรื่องนี้ กลับไม่มีท่าทีสนใจต่อการสูญเสียดังกล่าว ทั้งไม่เคยประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย จนเป็นดัง “การตายที่ไร้เสียง” เช่น คดีครูจูหลิง คดีการรุมสังหารนาวิกโยธิน 2 นายในหมู่บ้าน จนถึงกรณีนายก อบต.รือเสาะ ที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในที่ทำงานตัวเอง ซึ่งทุกฝ่ายรู้ดีว่าเป็นการก่อเหตุร้ายของกลุ่ม BRN ภาวะเช่นนี้เห็นชัดว่ามีแต่ความตายของฝ่ายต่อต้านเท่านั้น ที่จะได้รับความสนใจ
10) ในอีกด้าน มีข้อเสนอจากกลุ่มที่เคลื่อนไหวว่า คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำเลยในการทำความผิด ไม่ควรมีอายุความ ซึ่งดูจะเป็นการสร้าง “กฎหมายพิเศษ” อีกแบบ ทั้งที่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ การออกกฎหมายที่ไม่มีอายุความจะกลายเป็นกฎหมายพิเศษในตัวเอง เพราะกฎหมายปกติทุกชนิดมีอายุความในตัวเอง
11) ถ้าคดีในลักษณะดังกล่าวไม่มีอายุความแล้ว คดีผู้ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ควรจะไม่มีอายุความเช่นเดียวกันหรือไม่ เพราะญาติผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการก่อเหตุของ BRN ก็รู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากปฏิบัติการทำลายล้างของ BRN เช่นกัน ผู้เสียชีวิตเหล่านี้กลายเป็นเหยื่อจากการก่อการร้ายที่ไม่รับผิดชอบของ BRN ซึ่งปฏิบัติการเช่นนี้ไม่เคยมีกลุ่มสิทธิฯ นำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหว
12) ไม่ว่าคดีตากใบจะจบในรูปแบบใด ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จะไม่ลดลง ดังเห็นได้จากการสังหารที่ยังเกิดต่อเนื่อง เช่นล่าสุด ในกรณีของนายก อบต.รือเสาะ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ที่เป็นทั้งไทยพุทธและมุสลิมว่า เป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้สังคม แต่สุดท้ายเขาก็ถูกสังหาร เพียงเพื่อกวาดล้างบทบาทและอิทธิพลของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับพื้นที่ที่เป็นไทยพุทธให้หมดไป (ภาพวิดีโอของการสังหารที่เกิดขึ้น บอกชัดเจนว่าเป็นปฏิบัติการสังหารที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี)
13) ในการเคลื่อนไหวกรณีตากใบ ยังมีการหยิบยกประเด็นเรื่องของกฎหมายและความยุติธรรมมาเป็นหัวข้อสำคัญ แต่ต้องไม่ลืมว่า “กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์” ที่รัฐไทยหาทางประนีประนอมและยุติคดี เพื่อจะได้จ่ายเงินเยียวยาให้ได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นความพยายามที่สำคัญ เพราะถ้ายังต่อสู้คดีในศาลด้วยกระบวนการยุติธรรมตามปกติแล้ว คดีตากใบที่มีพยานเป็นจำนวนมากกว่า 1 พันปากนั้น อาจจะใช้ระยะเวลาในศาลเกินกว่า 10 ปี และผู้เสียหายและญาติๆ ที่เป็นผู้ฟ้องคดี จะไม่ได้รับการเยียวยา เนื่องจากหากคดีไม่ได้ยุติเด็ดขาด รัฐจะไม่สามารถจ่ายเงินเยียวยาได้
รัฐบาลในขณะนั้นจึงเลือกที่จะประนีประนอม เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบของฝ่ายรัฐในเรื่องนี้ อันจะเอื้อให้ผู้ฟ้องคดีและญาติที่เกี่ยวข้องได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ทั้งเป็นการยืนยันในอีกด้านว่า รัฐไม่มีความประสงค์ที่จะเป็นศัตรูกับพี่น้องมุสลิม แม้ว่าผู้ที่ถูกจับกุมบางส่วนจะมีความเกี่ยวข้องในทางคดีก็ตาม
14) กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ที่เริ่มผลักดันโดยนายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และดำเนินการต่อมาในสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นภาพสะท้อน “นโยบายประนีประนอมของรัฐไทย” อย่างชัดเจน ไม่ใช่การดำเนินนโยบายปราบปรามดังเช่นที่ถูกนำมาใช้ในการโฆษณาทางการเมืองของฝ่ายต่อต้าน แม้ในช่วงรัฐบาลรัฐประหาร ก็อาจกล่าวได้ว่ารัฐไม่ได้มีนโยบายในลักษณะเช่นนั้น
15) ฝ่ายรัฐไม่ควรอยู่ด้วยความเชื่อว่าคดีตากใบจบลงแล้ว… ไม่ต้องใส่ใจอะไรแล้ว คดีอาจจะจบลงในทางกฎหมาย แต่ในทางการเมืองและการเคลื่อนไหว คดีตากใบจะถูกใช้เป็นเชื้อไฟของกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงที่ไม่จบ และถูกนำมาใช้สร้างวาทกรรมชุดใหม่ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เพื่อสร้างภาพความโหดร้ายของฝ่ายรัฐ เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาสมาชิกใหม่
16) ฝ่ายรัฐยังต้องถือเสมอว่า รัฐมีภาระหน้าที่ในการชี้แจงและทำความเข้าใจกับเวทีสากล และเวทีประชาชนทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ถึงความเป็นมา ปัญหา และการแก้ปัญหาในขั้นตอนต่างๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีใน 2 สมัยได้ออกมากล่าวคำขอโทษ รวมถึงความช่วยเหลือต่างๆ เช่น สิ่งที่ได้ดำเนินการโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. ในสมัยรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวอย่างที่สำคัญของฝ่ายรัฐในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐควรยอมรับในบางส่วนที่อาจเป็นข้อบกพร่องและความผิดพลาด ซึ่งจะต้องนำมาเป็นบทเรียนสำคัญเสมอ
17) ถ้ารัฐไทยใจแคบ และไม่รับฟังเหตุผลและวาทกรรมของผู้เห็นต่าง และบรรดากลุ่มสิทธิฯ ในภาคใต้แล้ว รายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ในส่วนกลางบางช่องจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ทั้งที่สถานีโทรทัศน์ช่องนั้นได้รับงบประมาณจากรัฐ และไม่ต้องดิ้นรนหาโฆษณาเช่นช่องอื่นๆ (จนเป็นที่อิจฉาของสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ที่ต้องดิ้นรนหาสปอนเซอร์เอง)
18) ความท้าทายที่สำคัญนั้น ไม่ว่าคดีตากใบจะสิ้นสุดลงในแบบใด การกำหนดยุทธศาสตร์ต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องใส่ใจ เพราะการไม่มียุทธศาสตร์จะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง [ดังเช่นมีข่าวว่า ผู้บริหารระดับสูงของ สมช. ไทย “แอบ” เดินทางไปพบกับตัวแทนของ BRN 2 นายในประเทศยุโรปในช่วงปลายปี 2567 (ขอไม่เอ่ยชื่อประเทศ) ทั้งที่ สมช.ไม่ใช่หัวหน้าคณะผู้เจรจาในปัจจุบันแล้ว เพราะยังไม่มีการแต่งตั้ง อันทำให้ไม่รู้ว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้
เพราะไม่มีประเทศไหนใช้เจ้าหน้าที่ในระดับสูงเข้ามาทำภารกิจดังกล่าว เว้นแต่ปัญหาเกิดจากความไม่เข้าใจทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายปฏิบัติ]
19) มิติการต่อสู้ของ BRN มี “แนวร่วม” ทั้งในและนอกประเทศเป็นจักรกลที่สำคัญ แต่รัฐไทยดูจะไม่สันทัดในการจัดการปัญหาเช่นนี้ โดยเฉพาะปัญหาแนวร่วมจากต่างประเทศที่เข้ามาทำงานเคลื่อนไหวในพื้นที่ และสนับสนุนการทำ “สงครามการเมือง” ของ BRN อย่างชัดเจน
20) รัฐบาลจะต้องตระหนักเสมอว่า สงครามของ BRN มีทั้งบริบทการเมืองและการทหาร โดยเฉพาะงานการเมืองของการขยายแนวร่วมผ่านเวทีการเมืองในระดับชาติ และผ่านองค์กรการเมืองในเวทีเปิด ทำให้การต่อสู้ของกลุ่มนี้ยกระดับและขยายตัวอย่างมากในเวทีสาธารณะ
ทั้งหมดนี้สะท้อนอย่างน่าหดหู่ใจว่า รัฐบาลในบริบทของการแก้ปัญหาภาคใต้ยังคงเป็นเหมือน “รัฐอัมพาต” ที่เป็นคนป่วย (ควรจะต่อด้วยคำว่า “ติดเตียง” หรือไม่?)… ส่วน BRN เป็นเหมือนคนแข็งแรง ทั้งยังได้ “ยาโด๊ป” ออกวิ่งแรงดี (จนวิ่งไปไกลถึงยุโรป) และสำคัญคือ มีคนคอยช่วยส่งยาโด๊ปให้ไม่หยุดด้วย!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022