ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์
ปรีดี แปลก อดุล
: คุณธรรมน้ำมิตร (49)
ความไม่พอใจครั้งที่ 4
: รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน
การรัฐประหารเมื่อพฤศจิกายน พ.ศ.2490 ทหารบกร่วมมือกับฝ่ายอำนาจเก่าโดยมิได้ชักชวนทหารเรือให้เข้าร่วม สะท้อนความไม่ไว้วางใจของทหารบกต่อทหารเรือ
และยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทยมีหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารเรือให้ส่งตัวนายปรีดี พนมยงค์ แก่คณะรัฐประหาร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ
และยังได้รับความช่วยเหลือจากนายทหารเรือบางท่านจนนายปรีดี พนมยงค์ สามารถหลบหนีไปต่างประเทศได้สำเร็จ
ทหารบกจึงยิ่งเพิ่มหวาดระแวงทหารเรือมากยิ่งขึ้น
ความไม่พอใจครั้งที่ 5
: กบฏเสนาธิการ
ในเหตุการณ์กบฏเสนาธิการซึ่งแม้ไม่มีนายทหารเรือเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่กองทัพเรือก็ถูกหวาดระแวงจากกองทัพบก
มีบันทึกว่า ฝ่ายทหารเรือได้เปิดประชุมด่วน พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการหน่วยนาวิกโยธินซึ่งถูกสงสัยว่าร่วมมือกับนายปรีดี พนมยงค์ ได้มอบหมายให้ น.ท.ประดิษฐ์ พูนเกษ เป็นตัวแทนเข้าชี้แจงแก่คณะรัฐบาลของคณะประหารว่าไม่เกี่ยวข้อง และไม่ต้องการเป็นเครื่องมือทางการเมืองของทุกฝ่าย
รวมทั้งรับรองว่าไม่มีนายปรีดี พนมยงค์ อยู่ในเขตพื้นที่กองทัพเรือแต่อย่างใด
ความไม่พอใจครั้งที่ 6
: กบฏวังหลวง
หลังเหตุการณ์กบฏวังหลวงยุติลง กองทัพบกและกองทัพเรือก็คุมเชิงกันโดยตลอด “เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล” ของ มนัส จารุภา บันทึกว่า กองเรือรบซึ่งเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือเตรียมพร้อมในที่ตั้งบ่อยครั้ง มีการจัดตั้ง “หมู่รบ” แล้วทำการฝีกซ้อมทำการรบบนบกอย่างต่อเนื่อง
ในเวลากลางคืนก็จัดตั้งเครื่องกีดขวางเส้นทางเข้าสู่กองเรือรบในทุกเส้นทาง มีการตั้งด่านตรวจค้นอาวุธผู้ต้องสงสัย ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการตรวจพื้นที่อยู่เสมอ
นอกจากนั้น การที่หลวงสินธุสงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือซึ่งยึดมั่นในแนวทาง “ทหารอาชีพ” อย่างเคร่งครัด จึงมักสงวนท่าทีและระมัดระวังในการปฏิบัตินโยบายที่กำหนดจากรัฐบาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเมืองอยู่เสมอ
จึงยิ่งเพิ่มความไม่พึงพอใจจากรัฐบาลและคณะรัฐประหารมากขึ้นไปอีก
ตำรวจ
: ตัวละครใหม่
เมื่อเหตุการณ์กบฏวังหลวงสงบลงด้วยการเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐประหารกับผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือแล้วก็มีการประกาศว่าเป็นการเข้าใจผิดจึงเกิดการปะทะสู้รบกันขึ้น เรื่องจึงเป็นการเลิกแล้วต่อกันไป คงมีแต่การจับกุมตัวฝ่ายพลเรือนที่เข้ายึดวังหลวงไปดำเนินคดี และกระทรวงกลาโหมสั่งย้าย พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ ผู้บังคับการกรมนาวิกโยธินไปสำรองราชการกรมเสนาธิการทหารเรือ
เหตุการณ์ทั่วไปจึงดูสงบราบเรียบ แต่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำหลังจากนั้นก็มีการ “คุมเชิง” กันระหว่างผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐประหารกับผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือมาโดยตลอด
ที่ผ่านมา แม้กองทัพบกกับกองทัพเรือจะไม่ “กินเส้น” กันนักตั้งแต่เหตุการณ์กบฏบวรเดช แต่ก็เป็นเรื่องของความแตกต่างในความคิดทางการเมือง
ต่างฝ่ายจึงต่างให้เกียรติกันและกันอยู่หลังรั้วหลังกำแพงที่เป็นเขตแดนระหว่างกัน ทำให้ไม่มีโอกาสกระทบกระทั่งกัน
จนกระทั่งมี “ตัวละครใหม่” ถือกำเนิดขึ้นบนเวทีการเมืองหลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 คือตำรวจ
พ.ศ.2491 พ.อ.เผ่า ศรียานนท์ ย้ายมาดำรงตำแหน่งในกรมตำรวจ แล้วมุ่งมั่นพัฒนาทั้งกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งขวัญกำลังใจ เกิดคำขวัญ “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ที่สร้างความฮึกเหิมให้แก่ตำรวจทุกระดับ
จนกระทั่งแม้มีสถานะทางกฎหมายเป็นเพียง “กรม” แต่ก็ถูกยกระดับเรียกจากประชาชนทั่วไปว่า “กองทัพตำรวจ”
จึงเกิดความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า บัดนี้ ใต้ร่ม “ธงชัยเฉลิมพล” ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกับกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ สถานะของพวกเขาจึงทัดเทียมแล้วกับทหารทั้ง 3 เหลาทัพ
โดยเฉพาะบทบาทการปราบปรามทหารเรือในเหตุการณ์กบฏวังหลวง ที่ “กรมตำรวจ” เปล่งอานุภาพทัดเทียมกับกองทัพบกจากบทบาทอันโดดเด่นของ “ตำรวจรถถัง”
ที่ผ่านมา ด้วยบทบาทจาก “ภารกิจทางทหาร” ที่แบ่งแยกขอบเขตกันชัดเจนระหว่างทหารบกกับทหารเรือ “ทหารบกอยู่บก ทหารเรืออยู่เรือ” รวมทั้งความมีวินัยเคร่งครัดในฐานะทหารของชาติ ทำให้ทหารบกกับทหารเรือมีโอกาสน้อยที่จะกระทบกระทั่งกัน
แต่ภารกิจของตำรวจในฐานะ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ซึ่งพื้นที่ในการปฏิบัติภารกิจยากที่จะแยกเด็ดขาดจากกันทั้งกับทหารบกและทหารเรือ บวกกับเรื่องของ “ศักดิ์ศรี” ที่ทหารบกและทหารเรือต่างเริ่มรู้สึกคล้ายกันว่า ตำรวจกำลังเบ่งรัศมีตีตนเสมอ ทำให้มีโอกาสกระทบกระทั่งกันทั้งระหว่าง “ตำรวจกับทหารบก” และ “ตำรวจกับทหารเรือ” มีโอกาสเกิดขึ้นได้วันละ 24 ชั่วโมงในแทบทุกสถานที่ ทุกตารางนิ้ว
คนที่เกิดและจำความได้เมื่อครั้งหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คงยังจำได้ว่า ข่าวประเภทหนึ่งที่คุ้นหูประจำวันในยุคนั้นคือข่าว “ทหารตำรวจตีกัน” ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เชียร์ทหาร
“วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่”
พ.ศ.2492 หลัง “กบฏวังหลวง”…
ครั้งหนึ่งพลทหารเรือ 2-3 นายไปเที่ยวหาความสำราญกับหญิงโสเภณีที่โรงแรมแถวสามแยก ถูกอันธพาลเจ้าถิ่นตรอกโรงหมู หัวลำโพง กลุ้มรุมทำร้าย
ครั้นวันรุ่งขึ้น ทหารเรือจำนวน 2 คันรถ แยกเป็น 2 สาย สายหนึ่งไปทางตรอกโรงหมู ปิดตรอกตะลุยตีชายฉกรรจ์ทุกคนไม่เลือกหน้า
อีกสายหนึ่งแยกไปที่โรงแรมต้นเหตุ ตีไม่เลือกหน้าเช่นกัน พร้อมกับทุบข้าวของในโรงแรมพังพินาศ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุไม่สามารถระงับเหตุได้ ต้องหนีกลับโรงพัก
อีกคราวหนึ่ง พลทหารเรือสังกัดกองสัญญาณทหารเรือใกล้สวนลุมพินี ไปเที่ยวแถวท่าเรือคลองเตยแล้วมีเรื่องกระทบกระทั่งกับนักเลงสุขุมวิทเข้า นายตำรวจแห่งสถานีตำรวจลุมพินีทราบเรื่องรีบไปยังที่เกิดเหตุแล้วใช้อาวุธปืนยิงพลทหารเรือเสียชีวิต
พล.ร.ต.ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับกองสัญญาณทหารเรือซึ่งอยู่ในเครื่องแบบรีบไปยังจุดเกิดเหตุทันที ตรงเข้าอุ้มร่างพลทหารเรือผู้ตายเหมือนเป็นศพของลูกจนเครื่องแบบของท่านชุ่มโชกไปด้วยเลือด
พล.ร.ต.ชลี สินธุโสภณ กลับเข้ากองสัญญาณทหารเรือพร้อมด้วยศพทหารเรือผู้นั้นแล้วออกคำสั่งให้ทหารทุกนายเข้าแถวรับคำสั่งและรับอาวุธแล้วเคลื่อนกำลังตรงไปยังสถานีตำรวจลุมพินีทันที
ทหารเรือจู่โจมเข้ายึดสถานีตำรวจไว้ได้ จัดการปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายแล้วควานหาตัวนายตำรวจที่ทหารเรือเห็นว่าใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุ นายตำรวจต้นเหตุผู้นั้นไหวทัน ปลอมตัวเป็นคนถีบสามล้อขี่สามล้อที่ตำรวจยึดไว้ออกจากโรงพักหลบออกไปได้อย่างหวุดหวิด
พล.ร.ต.ชลี สินธุโสภณ ได้แจ้งให้หน่วยเหนือทราบถึงการที่ได้กระทำลงไปพร้อมทั้งวัตถุประสงค์ คืนนั้นผู้ใหญ่หลายฝ่ายต้องเปิดการเจรจาขึ้นอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์จึงคลี่คลายเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น ทหารจากกองสัญญาณทหารเรือจึงถอนกำลังกลับ
พล.ร.ต.ชลี สินธุโสภณ ได้เป็นเจ้าภาพจัดการฌาปนกิจศพพลทหารเรือนายนั้นที่วัดหัวลำโพงโดยมีหนังสือเวียนแจ้งไปยังหน่วยต่างๆ ในกองทัพเรืออย่างทั่วถึง
ปรากฏว่ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 3 กองทัพและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทหารเรือทุกชั้นยศไปร่วมงานอย่างล้นหลาม
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวคำกล่าวของ พล.ร.ต.ชลี สินธุโสภณ ไว้ว่า “ขึ้นชื่อว่าทหารเรือแล้วใครมาแตะต้องไม่ได้ แม้แต่พลทหาร”
เรื่องราวของทหารเรือเหล่านี้ ทำให้หวนรำลึกถึงบางตอนจากบทเพลง “ดอกประดู่” พระนิพนธ์ของเสด็จเตี่ยที่ทหารเรือทุกนายล้วนจดจำจารึกไว้ในสำนึกว่า
“วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่ วันไหนร่วงโรย ดอกโปรยตกพรู…”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022