ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
การต่อต้านการจารกรรม
: เคมเปไทปะทะสายลับก๊กมินตั๋ง (1)
การต่อต้านสายลับก๊กหมินตั๋ง
ภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาระเบิดขึ้นแล้ว รัฐบาลจุงกิงของเจียงไคเช็ก ก่อตั้งหน่วยงานเกี่ยวกับกิจการในไทย (2485) โดยมีสำนักงานตั้งที่เมืองจุงกิง สังกัดกรมวิเทศสัมพันธ์ของก๊กมินตั๋ง รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยทหารรับผิดชอบการทหารต่อไทย (2486) ตั้งที่เมืองเชียงรุ้ง รับผิดชอบการส่งหน่วยใต้ดินเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในไทย รวมทั้งช่วยเหลือเสรีไทยเข้ามาในไทยด้วย (เออิจิ มูราซิมา, 2541, 135)
ในช่วงสงครามนั้น ชุมชนจีนในไทยมีคนจีนหลากหลายกลุ่ม เช่น แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำและแคะที่อาศัยในไทยจำนวนมาก ดังจากการสำรวจของกงสุลจีนหลังสงครามไม่นาน มีการรายงานว่า มีคนจีนอาศัยอยู่ในพระนครราว 527,062 คน (Kornphanat Tungkeunkunt, 2012, 33-34) อันสามารถอนุมานถึงจำนวนคนจีนในพระนครช่วงสงครามได้เช่นกัน
ด้วยย่านเยาวราชเป็นศูนย์กลางใหญ่ของชุมชนจีนที่สำคัญที่สุดในไทย และชาวจีนผู้อาศัยในไทยมาจากต่างถิ่นต่างความคิดทางการเมืองอาศัย ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายนอกไทย ไม่ว่าจะเป็นสงครามในจีนระหว่างญี่ปุ่นกับจีน และความแตกแยกภายในของก๊กมินตั๋งระหว่างวังจิงไวและเจียงไคเช็ก ผนวกกับความขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่แผ่นดินใหญ่นั้นย่อมมีผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดและการเคลื่อนไหวต่อสู้ของชาวจีนที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในไทยคู่ขนานไปกับสภาพการณ์ในจีนไปด้วย
ดังนั้น งานต่อต้านการจารกรรม (counter-espionage) ระหว่างจีนกับกองทัพญี่ปุ่นในไทยจึงดำเนินไปอย่างเข้มข้น ดังที่นายพลนากามูระบันทึกถึงการต่อต้านการจารกรรมตั้งแต่ช่วงสงครามจนถึงก่อนเดือนมีนาคม 2488 ว่า ปฏิบัติการสายลับของจีนมีทั้งกิจกรรมที่ปิดลับและมีการจัดตั้งองค์กรต่อต้านญี่ปุ่นใต้ดินอันมีความซับซ้อนมาก (นากามูระ, 2546, 156)
ทั้งนี้ ปฏิบัติการสายลับและเครือข่ายสายลับของจีนอยู่ภายใต้ พล.ท.ไต้ลี่ (??; 1897-1946) เขาบังคับบัญชาหน่วยสืบราชการลับของก๊กมินตั๋งที่ปฏิบัติการในจีนและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายหมื่นคน เช่น หน่วยปฏิบัติการพิเศษ หน่วยปฏิบัติการหาข่าว หน่วยล่าสังหารศัตรูและคนทรยศ หน่วยก่อวินาศกรรม หน่วยสื่อสารวางข่ายการติดต่อทางลับและรายงานข่าวกลับศูนย์กลาง เป็นต้น (ประสิทธิ์ รักประชา, 2540, 186)

ในช่วงปลายสงคราม จีนและสหรัฐร่วมมือกันในการฝึกสายลับให้กับจีนผ่าน O.S.S. หรือหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐในช่วงสงคราม ต่อมาพัฒนาเป็นหน่วยที่ชื่อ CIA ดังที่ เสิ่นจุ้ย อดีตสายลับใต้บังคับบัญชาไต้ลี่เล่าไว้ว่า ในปลายปี 2486 ภายหลังจากความร่วมมือระหว่างจีนกับสหรัฐในการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองร่วมกัน หรือสำนักงานจีน-อเมริกัน (Sino-American Cooperation Goup; SACO) แล้ว หน่วยสืบราชการลับร่วมนี้ได้ก่อตั้งโรงเรียนอบรมสายลับขึ้นกว่า 20 แห่ง มีคนหนุ่มสาวและนักศึกษาจำนวนมากเข้าร่วมงานเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น (เสิ่นจุ้ย, 2540, 190-191)
ทั้งนี้ งานสายลับและจารกรรมของ OSS ช่วงปลายสงครามในเอเชียแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมีกองบัญชาการในจีน และอีกส่วนในเอเชียอาคเนย์ ตั้งหน่วยที่แคนดี้ ศรีลังกา โดย OSS มีการส่งคนเข้าปฏิบัติการแทรกซึมจากจีนเข้าไทย (นิคอล สมิธ และ เบลค คลาร์ค, 2529, 213)
สำหรับฝ่ายอักษะ กองทัพญี่ปุ่นและเหล่าเคมเปไทมีปฏิบัติการต่อต้านการจารกรรมของสายลับจากฝ่ายสัมพันธมิตรในไทยด้วยเช่นกัน ดังข้อตกลงสนธิสัญญาสัมพันธมิตรญี่ปุ่น-ไทยนั้น กำหนดให้การป้องกัน สกัดกั้น และการทำลายการดำเนินการของสายลับของศัตรูเป็นหน้าที่ของทั้งญี่ปุ่นและไทย แต่นายพลนากามูระเล่าว่า ฝ่ายไทยกระตือรือร้นในการจัดการสายลับค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น ภารกิจดังกล่าวจึงกลายเป็นฝ่ายญี่ปุ่นที่มีความกระตือรือร้นในการจัดการแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้ สารวัตรทหารญี่ปุ่นจึงมีงานล้นมือและมีปัญหาในการปฏิบัติงานมาก (นากามูระ, 2546, 156)

ญี่ปุ่นซ้อนแผนก๊กมิ๋นตั่ง
ตั้งสายลับสองหน้า
ในช่วงต้นสงคราม สารวัตรทหารญี่ปุ่นจับกุมสายลับชาวจีนสังกัดนายพลไต้ลี่ที่เข้ามาปฏิบัติงานในไทยได้ มีการระบุว่า กลุ่มปฏิบัติงานสายลับในไทยนี้ มีนายเซียวซงขิมเป็นหัวหน้า และนายหลานตงไห่ (สมุทร เลิศบูรพา) เป็นรองหัวหน้า
สารวัตรทหารญี่ปุ่นสามารถดักจับคลื่นสื่อสารแปลกปลอมในไทยได้ จึงมีการบุกจับกุมนายทหารจุงกิง ยศ ร.ท.สายลับก๊กมินตั๋งที่ส่งวิทยุในไทยเมื่อ 28 กันยายน 2485 ต่อมา สารวัตรทหารญี่ปุ่นได้ซ้อนแผน โดยใช้นายทหารคนนี้เป็น “สายลับสองหน้า” ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นสามารถล้วงข้อมูลลับจากฝ่ายจุงกิงได้นานนับแต่บัดนั้นจวบจนถึงเดือนมีนคม 2488 หรือเกือบสิ้นสุดสงครามเลยทีเดียว (เออิจิ มูราซิมา, 2541, 134)
ดังที่นายพลนากามูระบันทึกเรื่องดังกล่าวไว้ว่า “ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พ.ศ.2485 มีการจับคลื่นวิทยุลึกลับ แต่ฝ่ายเราไม่อาจระบุที่ตั้งได้ โดยความพยายามของหน่วยสอบสวนวิทยุของสารวัตรทหารญี่ปุ่นจึงสามารถค้นหาวิทยุลับได้ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน” (นากามูระ, 2546, 156)
พลันเมื่อสารวัตรทหารญี่ปุ่นบุกทลายสถานีวิทยุลับได้ในพระนคร และจับกุมนายทหารของก็กมินตั๋งได้แล้ว มีการสอบสวนพบว่า สายลับผู้นี้สังกัดขึ้นตรงกับกองทัพของเจียงไคเช็ก สารวัตรทหารญี่ปุ่นสามารถยึดหลักฐานต่างๆ ได้มากมาย และจับกุมผู้ร่วมงานสตรีได้อีกคน
ด้วยการจับกุมที่รวดเร็วและเป็นความลับนั้น ทำให้ฝ่ายจุงกิงไม่ทราบเรื่อง ดังนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นจึงต้องการใช้สายลับทั้ง 2 คนนี้เป็น “สายลับซ้อน” ด้วยการชักชวนให้สายลับจีนแปรพักตร์มาเข้าข้างญี่ปุ่นแทน ด้วยการเปิดสถานีวิทยุลับนั้นขึ้นใหม่ โดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสารวัตรทหารญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด
จากนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้จัดให้ทั้งสายลับจุงกิงทั้งสองแต่งงานกันโดยมีหัวหน้ากองสารวัตรทหารจัดพิธีแต่งงานให้ สายลับทั้งสองทำงานให้ฝ่ายญี่ปุ่นจวบจนสงครามสิ้นสุด ญี่ปุ่นจึงปล่อยตัวทั้งสองไป (นากามูระ, 2546, 156)

การต่อต้านสายลับจุงกิงของญี่ปุ่นในไทย
สําหรับหลักฐานการต่อต้านการจารกรรมนั้น ปรากฏในบันทึกความทรงจำของอดีตนายทหารสารวัตรไทยคนหนึ่งเล่าว่า คืนหนึ่งในช่วงสงคราม สารวัตรทหารญี่ปุ่นมาพบเขาที่บ้านพักเพื่อพาไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ โรงแรมบางกอก Bangkok Hotel ที่ถนนสีลม จากนั้นก็พาเขาไปยังบ้านทหารญี่ปุ่นอีกหลายแห่งเพื่อรับเพื่อนๆ ขึ้นรถเดินทางไปยังบาร์ที่โรงแรม เหล่าสารวัตรทหารญี่ปุ่นได้สั่งเบียร์พร้อมกับแกล้มญี่ปุ่น ร้องเพลง ดื่มกิน และรอเวลาอะไรบางอย่างด้วยความรื่นรมย์จนเวลาจวบหลังเที่ยงคืน
ต่อมา ปรากฏสายลับชาวจีนคนหนึ่งรีบแจ้งข่าวลับให้สารวัตรทหารญี่ปุ่นทราบ จากนั้น สารวัตรทหารไทยบันทึกว่า “สารวัตรทหารญี่ปุ่นพูดกับข้าพเจ้าว่า สารวัตรทหารญี่ปุ่นขอกำลังสารวัตรทหารไทยสัก 7-8 คนมาสมทบ เพราะคืนนี้จะมีการจับกุมคนทำจารกรรม ซึ่งทางญี่ปุ่นจะจัดการเอง ส่วนสารวัตรไทยนั้นมีหน้าที่ช่วยดูแลอย่าให้ราษฎรไทยเข้าไปในระหว่างที่เขาปฏิบัติการอยู่เท่านั้น” จากนั้น สารวัตรทหารญี่ปุ่นออกเดินทางไปยังศาลาแดงซึ่งเป็นที่ทำการใหญ่ของสารวัตรทหารทันที
จากนั้น นายทหารสารวัตรญี่ปุ่นพร้อมทหารสารวัตรจำนวน 3 รถบรรทุก อาวุธครบมือ ไปที่ซอยสุเหร่า ริมคลองมหานาค ฝ่ายทหารญี่ปุ่นให้สารวัตรทหารไทยปิดถนนห้ามการสัญจร จากนั้น ใช้เสาไม้ยาว 4 เมตรกระทุ้งทำลายประตู จับคนจีนกวางตุ้ง 3 คน พร้อมเครื่องวิทยุบนโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีสายไฟระโยงระยาง ถูกทหารญี่ปุ่นจับขัง 7 วัน จากนั้นส่งตัวไปยังโชนัน หรือสิงคโปร์ สารวัตรทหารไทยรำพึงในใจว่า “เจ้า 3 คนนี้เห็นทีจะต้องถูกไปยิงทิ้งแน่”
ทหารญี่ปุ่นถามต่ออีกว่า เรื่องการจับกุมสายลับจีนนี้ รัฐบาลไทยทราบเรื่องไหม เขาอ้างว่ารัฐบาลไทยทราบแล้วและมีอีกหลายกรณีที่สารวัตรทหารไทยจะจับกุม แต่ทหารญี่ปุ่นมาจับก่อน ทำให้กรณีอื่นๆ หนีไปเสียก่อน จากการจับสายลับจุงกิงนี้ ทหารญี่ปุ่นจ่ายเงินรางวันนำจับวิทยุเถื่อนให้สายลับจีนคนนั้นเป็นเงินถึงหมื่นบาททีเดียว (เสถียร, 2518, 140-141)
อย่างไรก็ตาม จากบันทึกของสารวัตรทหารไทยผู้นี้สามารถตีความได้ว่า ดูเหมือนว่า ฝ่ายไทยไม่เป็นธุระใส่ใจมากนักในการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นของชาวจีน จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่สารวัตรทหารญี่ปุ่นดำเนินการเป็นหลัก ดังที่นายพลนากามูระบันทึกไว้

สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022