ยุทธการ 22 สิงหา จุด ‘เหมือน’ ความ ‘ต่าง’ สงครามสี จาก พันธมิตร ถึง ‘แดงทั้งแผ่นดิน’

สาระนิยาย Psy ฟุ้ง

 

ยุทธการ 22 สิงหา

จุด ‘เหมือน’ ความ ‘ต่าง’ สงครามสี

จาก พันธมิตร ถึง ‘แดงทั้งแผ่นดิน’

 

ไม่ว่าจะศึกษาผ่าน “ความจริงไม่มีสี” ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะศึกษาผ่าน “19-19 ภาพชีวิตและการต่อสู้ของคนเสื้อแดง” ที่มี อุเชนทร์ เชียงแสน เป็นบรรณาธิการ

เมื่อประสานเข้ากับที่ “มติชน” จัดทำ “บันทึกประเทศไทย” อย่างต่อเนื่องจากปี 2550 ถึงปี 2552

สัมผัสได้ในตลอดเส้นทางของ “เหลือง” กับ “แดง”

ในเมื่อเหลืองมี “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เป็นแกนหลัก ในเมื่อแดงมี “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” เป็นแกนหลัก

ต้องยอมรับว่า “เหลือง” ดำเนินไปในลักษณะ “นำร่อง”

ต้องยอมรับว่า “แดง” ก่อรูปขึ้นในเบื้องต้นด้วยการถอดแบบมาจากแต่ละจังหวะก้าวอัน “เหลือง” เคยกระทำมาก่อน ความน่าสนใจเป็นอย่างมากอยู่ที่ผลมิได้เป็นไปในเส้นทางเดียวกัน

นั่นก็เนื่องมาจาก “รากฐาน” และ “องค์ประกอบ” แห่งการก่อรูปขึ้นของการเคลื่อนไหวและต่อสู้แตกต่างกัน

ฐานที่มาของ “เหลือง” ไม่เหมือนฐานที่มาของ “แดง”

 

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีจุดเริ่มต้นจากรายการ “เมืองไทยสัญจร” ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล

หลังมีปัญหากับ “อสมท” หลังมีปัญหากับ “รัฐบาล”

การเริ่มต้น “สัญจร” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปยังเวทีลีลาศสวนลุมพินี ไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ไปยังบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ค่อยๆ เรียก “มวลชน” อย่างต่อเนื่อง

ฤทธานุภาพของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก่อนประกาศเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือการได้รับเชิญเข้ากองบัญชาการกองทัพบก

สนทนากับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก

เมื่อมองย้อนกลับหลังไม่ว่าจะผ่าน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านการเข้าร่วมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย ก็จะสัมผัสได้ในแต่ละเครือข่ายที่ตามมายาวเหยียด

ไม่เพียงสายสัมพันธ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่เพียงสายสัมพันธ์ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่เพียงสายสัมพันธ์ของ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ไม่เพียงสายสัมพันธ์ของ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่เพียงสายสัมพันธ์ของ นายพิภพ ธงไชย

หากยังสามารถต่อสายยาวไปยังเครือข่ายแห่ง “อำนาจ” ในทางการเมือง อำนาจในระบบราชการ อำนาจในเครือข่ายกรรมกร รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน

ทำให้กรอบและขอบเขตการเคลื่อนไหว “ขยาย” มากขึ้นเป็นลำดับ

การหนุนเสริมระหว่างอำนาจ “นำ” ที่อยู่ในระบอบ และวางเครือข่ายอย่างเป็นระบบทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสามารถสร้าง “ปรากฏการณ์” ในทางการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงยึด “ท้องถนน” หากแต่ยังยึด “กระทรวงทบวงกรม” และรุกเข้าไปครองใน “ทำเนียบรัฐบาล”

และถึงขั้นตัดสินใจยึด “สนามบิน” ไม่ว่าดอนเมือง ไม่ว่าสุวรรณภูมิ

 

หากเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” นับแต่ก่อหวอดขึ้นเมื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ออกโรงในยุคหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2551

ก็จะสัมผัสได้ใน “ความเหมือน” และ “ความต่าง” อย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

เป็นความเด่นชัดดังที่ได้ประมวลมาในเชิงเปรียบเทียบ

ไม่ว่าจะเป็น “พันธมิตรกู้ชาติ บทพิสูจน์ความกล้า เสียสละ อหิงสา” อันมี สุปราณี คงนิรันดรสุข เป็นบรรณาธิการ ไม่ว่าจะเป็น “19-19 ภาพชีวิตและการต่อสู้ของคนเสื้อแดง จากกันยา 49 ถึง 19 พฤษภา 53” อันมี อุเชนทร์ เชียงแสน เป็นบรรณาธิการ

รวมถึง “ความจริงไม่มีสี” ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” ของ ชัยธวัช ตุลาธน และคณะ

ก็จะประจักษ์ใน “ความจริง” ที่ทั้ง “เหมือน” และ “ต่าง”

โดยเฉพาะที่ ยุกติ มุกดาวิจิตร อุเชนทร์ เชียงแสน ร่วมกันนำเสนอผ่านบทความขนาดยาวเรื่อง “กำเนิดและพลวัต คนเสื้อแดง” ก็จะสัมผัสได้ในการก้าวเข้าไปในอีกพื้นที่อันมากด้วยความแหลมคมเป็นลำดับ

ต้องอ่าน

 

หลังจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “ครอบครัวความจริงวันนี้” ได้ออกมาเปิดโปงการแทรกแซงทางการเมืองของ “อำมาตย์” โดยการรัฐประหารและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา

และยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลใหม่ 4 ประเด็น ได้แก่

1 ให้ดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ทำการยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน

2 ปลด นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญและมีส่วนในการยึดสนามบิน

3 ให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้

4 ให้ยุบสภา

จากนั้นจึงเดินสายจัดงาน “แดงทั้งแผ่นดิน” สัญจรในต่างจังหวัดก่อนจะกลับมาปักหลักชุมนุมใหญ่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 26 มีนาคม 2552

ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน 2552 ได้ประกาศเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง

พร้อมกับขยายพื้นที่ชุมนุมไปยังหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อเพิ่มแรงกดดัน แต่สุดท้ายจบลงด้วยการถูกปราบปรามในเดือนเมษายน 2552

หรือ “สงกรานต์เลือด”

 

เหตุการณ์ “สงกรานต์เลือด” ในปี 2552 นอกจากได้สร้างความรู้สึก “คับแค้นใจ” โดยทั่วไปให้เพิ่มขึ้นในฝ่ายเสื้อแดงแล้ว ยังตอกย้ำความรู้สึกและคำบรรยายเปรียบเทียบที่เรียกกันว่า “สองมาตรฐาน”

สืบเนื่องจากท่าทีและการปฏิบัติของฝ่ายต่างๆ ต่อการชุมนุมของพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

ขณะเดียวกัน ได้มีการพยายามสรุปบทเรียน จัดกิจกรรมย่อยๆ รวมทั้งการทำงานในระดับพื้นที่ผ่านการจัดตั้ง-ฝึกอบรมแกนนำย่อยและมวลชนในต่างจังหวัดมากขึ้นเพื่อเตรียมการสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่ รวมทั้งมีการปรับองค์กรการนำใหม่

โดยมีการประชุมแกนนำ “คนเสื้อแดง” ส่วนต่างๆ เพื่อจัดองค์กรนำใหม่ และเปลี่ยนชื่อจาก “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” เป็น “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน” ในระหว่างวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2552

ทั้งนี้ ในการเคลื่อนไหวรอบใหม่มีการล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การตรวจสอบอำมาตย์ (กรณีเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว)

และต่อมาได้ประกาศชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม 2553 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา

 

ร่องรอยสำคัญที่สร้างความแตกต่างในการต่อสู้ทางการเมืองหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 มีความแจ่มชัดไม่เพียงแต่จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 หากแต่ยังอยู่ที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มใหญ่ทางการเมืองที่สำคัญ

นั่นก็คือ ฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธ “รัฐประหาร” ทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นเครื่องมือ

ฝ่ายหนึ่งชิงความได้เปรียบจากกระบวนการ “การเลือกตั้ง”

การต่อสู้นี้เห็นชัดยิ่งขึ้นในเหตุการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553