ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
บทสรุป รอบด้าน
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ
ตำแหน่ง รัชทายาท
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เริ่มคิดเรื่องรัชทายาทตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เสด็จสวรรคต เมื่อปีฉลู พ.ศ.2408 (ก่อนสิ้นรัชกาลที่ 4 สามปี) ในเวลานั้นเจ้านายที่ฐานะอยู่ในฉายาอาจจะได้รับเลือกเป็นรัชทายาทมี 3 พระองค์ คือ
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระชันษา 13 ปี พระองค์หนึ่ง
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ พระชันษา 43 ปี พระองค์หนึ่ง
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหามาลา พระชันษา 46 ปี พระองค์หนึ่ง
ฐานะของเจ้านาย 3 พระองค์นั้นถ้าเทียบตามตัวอย่างรัชทายาทที่เคยมีมาแต่ก่อน สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เป็นเจ้าฟ้าพระราชโอรสองค์ใหญ่เหมือนกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ มิได้เป็นเจ้าฟ้า แต่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่เหมือนกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา เป็นเจ้าฟ้าพระราชอนุชาเหมือนกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
แต่ถ้าว่าโดยพฤติการณ์ผิดกับตัวอย่างที่อ้างมาทั้ง 3 พระองค์
เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อเสวยราชย์พระชันษาถึง 42 ปี ทั้งได้เป็นพระมหาอุปราชที่รัชทายาทอยู่แล้ว
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าฯ ได้เสวยราชย์เพราะสมเด็จพระบรมชนกนาถมีอาการประชวรไม่ทรงสามารถจะตั้งรัชทายาทได้ เจ้านายกับข้าราชการจึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
ด้วยทรงเห็นจะทรงสามารถปกครองแผ่นดินยิ่งกว่าพระราชวงศ์พระองค์อื่น
ส่วนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น เป็นเจ้าฟ้าพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ซึ่งโดยปกติสมควรจะเป็นรัชทายาทตั้งแต่รัชกาลที่ 2 แต่ไม่ได้รับรัชทายาทเพราะพฤติการณ์ไม่เป็นปกติดังกล่าวมาแล้ว
การที่มาพร้อมใจกันถวายราชสมบัติรัชกาลที่ 4 เหมือนกับถวายคืนราชสมบัติอันควรจะเป็นของพระองค์มาแต่ก่อน
ผิดกันดังนี้
ความเห็นพ้อง ต้องกัน
“เจ้าใหญ่” เป็น “ที่พึ่ง”
พิเคราะห์ตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่ากรมหมื่นมเหศวรฯ ก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาก็ดี ไม่ต้องการที่จะได้รับราชสมบัติ มีแต่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์พระองค์เดียวซึ่งสมควรจะเป็นรัชทายาท
คนทั้งหลายก็เห็นกันเช่นนั้น
แม้จนสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อรู้พระองค์ว่าจะไม่เสด็จอยู่ครองแผ่นดินก็ตรัสว่า “เจ้าใหญ่นี่แหละจะเป็นที่พึ่งของญาติได้” ดังนี้
ถ้าหากในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญพระชันษาได้สัก 25 หรือ 30 ปี ก็คงจะได้รับอุปราชาภิเษกแต่ในรัชกาลที่ 4 เหมือนอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่มีปัญหาที่ผู้อื่นจะเป็นพระมหาอุปราช
มูลของความลำบากในครั้งนั้นอยู่ที่เวลาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์วัย มีพระชันษาได้เพียง 13 ปี และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระชรา พระชันษาได้ถึง 62 ปี ถ้าเสด็จสวรรคตไป ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ก็จะต้องมีผู้อื่นว่าราชการแผ่นดินแทนพระองค์ไปจนทรงสมบูรณ์พระชันษาว่าราชการบ้านเมืองได้เอง
ข้อนี้ที่เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเกิดความวิตก เพราะในกรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่เคยมีพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชย์แต่ยังทรงพระเยาว์ มีตัวอย่างเป็นสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เป็นอันตรายแก่พระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระเยาว์ทุกครั้ง ครั้งหลังที่สุดเมื่อ พ.ศ.2171 พระเจ้าทรงธรรมมอบเวนราชสมบัติแก่พระเชษฐา ราชโอรสพระชันษา 14 ปีให้เจ้าพระยาสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหมเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
อยู่ได้ไม่ถึง 2 ปีเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เกลี้ยกล่อมเอาข้าราชการไปเป็นสมัครพรรคพวกเป็นอันมาก สมเด็จพระเชษฐาธิราชสงสัยว่าจะคิดร้ายจะชำระเจ้าพระยาสุริยวงศ์ก็เลยเป็นกบฏจับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชปลงพระชนม์ชิงเอาราชสมบัติมาเสีย
ตัวอย่างครั้งที่กล่าวมานี้ยิ่งร้ายด้วยคล้ายกับพฤติการณ์ในเวลานั้น ทั้งพระชันษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมีตัวเจ้าพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์เด่นอยู่สำหรับจะเป็นผู้ว่าราชการแผ่นดิน
ก็เกิดหวาดหวั่นกันว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สวรรคตไปโดยด่วน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะชิงราชสมบัติ ถ้ามีข้าราชการบางหมู่เข้าพวกสัญญากันว่าจะคอยป้องกันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กิตติศัพท์ความหวาดหวั่นเช่นนั้นย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดความลำบากใจแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มิใช่น้อย
เจ้าพระยา ศรีสุริยวงศ์
ตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการ
เวลานั้นพวกข้าราชการที่ชังท่านก็มีอยู่แล้ว ถ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคงจะมีผู้ชังมากขึ้นด้วย พ้นวิสัยที่จะบังคับบัญชาให้ชอบใจคนไปได้หมด พวกที่ไม่ชอบก็พากันคิดร้ายด้วยประการต่างๆ
เช่น ทูลยุยงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นอริกับตัวท่าน เป็นต้น และที่สุดจะว่าราชการบ้านเมืองในสมัยนั้นก็ลำบากด้วยฝรั่งเข้ามามีอำนาจมากกว่าแต่ก่อน
ผู้มีสติปัญญาเช่นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ย่อมจะคิดเห็นและคิดหาทางแก้ ซึ่งเห็นมีแต่ 2 ทางคือ ทางหนึ่ง หลีกตัวเสียอย่าให้ต้องเป็นผู้ว่าราชการแผ่นดิน หรืออีกทางหนึ่งถ้าจำจะต้องเป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินก็ให้มีอะไรเป็นเครื่องป้องกันอย่าให้คนทั้งหลายสงสัยว่าท่านจะชิงราชสมบัติ
อันนี้น่าจะเป็นมูลความคิดของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่ให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญเป็นพระมหาอุปราชตรงตามที่ผู้อื่นคิดเห็นกันโดยมาก
ท่านอาจจะคิดเห็นต่อไปว่าไม่มีการเสี่ยงภัยอันใดในเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยกรมหมื่นบวรวิชัยชาญพระชันษาแก่กว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง 16 ปีคงจะล่วงลับไปก่อนสิ้นรัชกาลที่ 5
รากฐาน รัชทายาท
ตั้งแต่ ปลาย “รัชกาล”
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็คงทรงปรารภถึงเรื่องรัชทายาทมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต
พิเคราะห์ตามเค้าเงื่อนตามรายการที่ปรากฏในตอนปลายรัชกาลที่ 4 ดูเหมือนจะได้ทรงพระราชดำริตกลงในพระราชหฤทัยเตรียมการเป็น 2 สถาน คือ
1 ถ้าพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่จนปีระกา พ.ศ.2416 พอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระชันษาสมบูรณ์ได้ทรงผนวชตามประเพณีแล้วก็จะมอบเวนราชสมบัติพระราชทาน และส่วนพระองค์จะเสด็จออกเป็นพระเจ้าหลวงช่วยคุ้มครองและแนะนำให้ทรงว่าราชการแผ่นดินไปจนตลอดพระชนมายุของพระองค์
2 ถ้าหากพระองค์จะเสด็จสวรรคตก่อนปีระกานั้นไซร้ก็จะพระราชทานอนุญาตให้พระราชวงศ์กับข้าราชการผู้ใหญ่ปรึกษากันถวายราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์หนึ่งพระองค์ใดตามแต่จะเห็นพร้อมกันว่าสมควรจะปกครองแผ่นดินได้
ด้วยทรงพระราชดำริดังกล่าว ทั้งในเวลานั้นพระเจ้าอยู่หัวก็เพิ่งโสกันต์จึงยังไม่ทรงแสดงราชปรารภในเรื่องรัชทายาท
บทสรุป ลักษณะชี้ขาด
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ
สันนิษฐานว่าในข้อที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จะเสด็จออกจากราชสมบัติไปเป็นพระเจ้าหลวงนั้นแม้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะไม่เห็นชอบด้วย ก็คงไม่กราบทูลคัดค้าน แต่ข้อที่จะให้ตัวท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั้นคงกราบทูลถึงความลำบากต่างๆ ซึ่งเกรงว่าตัวท่านจะไม่สามารถสนองพระเดชพระคุณได้
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็คงทรงชี้แจงให้เห็นความจำเป็นด้วยไม่มีผู้อื่นจะเป็นได้
บางทีท่านจะได้กราบทูลขอผ่อนผันตริตรองมาจนถึงวันเข้าเฝ้าฯ ณ ที่รโหฐานนั้นจึงกราบทูลความคิดว่า ถ้าจะให้ปลอดภัยในการที่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินท่านเห็นควรให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลโดยฐานเป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ คนทั้งหลายจะได้สิ้นสงสัยว่าท่านจะชิงราชสมบัติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไม่ทรงเห็นชอบด้วยแต่ไม่กล้าขัดขวางเพราะทรงพระราชดำริว่าถ้าพระองค์สวรรคตแล้วเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะทำอย่างไรก็คงทำได้จึงพระราชทานอนุมัติด้วยวาจาดังเช่นพระเจ้าอยู่หัวทรงได้ยิน
อันเห็นได้ว่าโดยไม่เต็มพระราชหฤทัย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022