‘ขิง’ โชว์ปราบขยะพิษ

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

จับตาดูบทบาทคุณเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการลุยจัดการกับโรงงาน “วิน โพรเสส” ที่จังหวัดระยอง แล้วอยากเชียร์ออกนอกหน้า หวังให้คุณเอกณัฏทำสำเร็จเป็นผลงานชิ้นโบแดงจะได้ลบล้างภาพจำเมื่อครั้งคุณเอกณัฏตั้งตัวเป็นแกนนำคัดค้านรัฐบาลที่ได้รับเลือกมาตามระบอบประชาธิปไตย ยกพวกปิดขวางหน่วยเลือกตั้งและประกาศศักดาชัตดาวน์ประเทศ

เมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว คุณเอกณัฏไปตอบกระทู้ในสภาที่คุณชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ส.ส.ระยอง พรรคประชาชน ถามความคืบหน้าการแก้ปัญหาโรงงานวิน โพรเสส กรณีเกิดเหตุไฟไหม้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 สมัยรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน เหตุการณ์ดังกล่าวล่วงเลยมาถึงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ปัญหายังคงเรื้อรังไม่ได้รับการแก้ไข

โรงงานวิน โพรเสส ตั้งอยู่ในชุมชนหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นโรงงานที่ขอใบอนุญาตทำกิจการบดอัดกระดาษและหลอมโลหะ หลังจากโรงงานแห่งนี้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่

เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบพบถังสารเคมีขนาด 200 ลิตร และ 1,000 ลิตรจำนวนมากและไม่มีเครื่องจักรตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตแม้แต่ชิ้นเดียว เท่ากับว่าเป็นโรงงานเถื่อน เป็นเสมือนโกดังเก็บขยะสารพิษอันตราย

ก่อนหน้านี้โรงงานวิน โพรเสสได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวหนองพะวามาต่อเนื่องเพราะลักลอบปล่อยของเสีย สารอันตรายปนเปื้อนในน้ำและดิน กรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งความดำเนินคดีและยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาและให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการบำบัดสารพิษ

ต่อมาชาวหนองพะวา 15 คนยื่นฟ้อง “วิน โพรเสส” ต่อศาลแพ่ง ใช้หลักฐานของกรมควบคุมมลพิษ ศาลพิพากษาให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายเมื่อปี 2565 รวม 20.8 ล้านบาท แต่จนถึงบัดนี้ผู้เสียหายยังไม่ได้เงินชดเชยแม้แต่บาทเดียว

ส่วนเรื่องบำบัดสารพิษนั้น กรมโรงงานฯ พยายามเจรจาให้บริษัทวิน โพรเสส รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ปรากฏว่าเจรจายังไม่ได้ข้อสรุปก็เกิดไฟไหม้เสียก่อน

คดี “วิน โพรเสส” เรื้อรัง จนเวลาเลื่อนไหลมาถึงยุคคุณเอกณัฏ หรือขิง ลูกบุญธรรมของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำ “กปปส.” ได้รับแต่งตั้งเข้ามาดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม

 

คุณชุติพงศ์บอกต่อที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วคุณเอกณัฏรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เกิดเหตุและบอกกับชาวระยองว่ามีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหา “วิน โพรเสส” จะเร่งทำและทำไม่หยุดจนกว่าจะเสร็จ

สิ่งที่จะทำคือ 1.การเบี่ยงทางน้ำป้องกันน้ำฝนกัดเซาะบ่อสารเคมีชะล้างไหลลงปนเปื้อนในพื้นที่ข้างเคียง 2.จะเร่งกำจัดตะกรันอะลูมิเนียมและเร่งบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เพื่อลดการปนเปื้อนรั่วซึมไปยังพื้นที่ของชุมชน

“วันนั้นชาวบ้านชื่นชมคุณเอกณัฏมากและดีใจที่กระตือรือร้น แต่ถึงวันนี้ นอกจากทำทางเบี่ยงแล้ว อย่างอื่นไม่มีความคืบหน้า กลิ่นที่คุณเอกณัฏดมในวันนั้น วันนี้ก็กลิ่นเดิม ฝนตกลมพัดทีเหม็นไปทั้งชุมชน เป็นความเจ็บปวดเดือดร้อนที่ได้แต่ตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดการขนย้ายสารเคมีที่กองทิ้งไว้ยังไม่ได้บำบัด” ส.ส.ระยอง พรรคประชาชน ถามคุณเอกณัฏในสภา

คุณชุติพงศ์บอกว่า ประเทศไทยตกเป็นถังขยะอุตสาหกรรม เพราะเศษขยะอุตสาหกรรมจากทั่วโลกไหลเข้ามาแล้วจมอยู่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดระยอง ทำไมคุณเอกณัฏจึงไม่นำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

 

คุณเอกณัฏลุกขึ้นตอบคำถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า มีความพยายามฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมให้กลับมาเติบโตอีกครั้งเพราะเชื่อว่าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส น่าจะมีโอกาสขยายตัวและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยืนยันว่าการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมต้องไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน

จากนั้นคุณเอกณัฏก็ร่ายยาวเรื่องของ “วิน โพรเสส” ตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาเมื่อปี 2564 ตัดสินจำคุกและให้แก้ปัญหา แต่ไม่มีผลน่าพอใจ กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงแถลงต่อศาลขอจัดการเอง แต่เงินที่บริษัทวิน โพรเสส วางประกันมีเพียง 4.9 ล้านบาท และเมื่อไปตรวจสอบสารเคมีขยะอุตสาหกรรมทั้งหมดในโรงงานวิน โพรเสส มีมากถึง 33,800 ตัน ต้องใช้งบฯ กำจัด 493 ล้านบาท

รัฐมนตรีอุตสาหกรรมบอกว่าปัญหาทั้งหมดมีคำตอบแล้ว กรมโรงงานฯ จัดซื้อจัดจ้างในการขนย้ายตะกรันอะลูมิเนียม ใช้งบฯ 4 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะหางบฯ กลาง วงเงิน 40 ล้านบาท เตรียมเสนอนายกฯ

 

คุณชุติพงศ์ลุกขึ้นถามคำถามต่อว่า ต้นตอปัญหาโรงงานลักลอบนำเข้าและกักเก็บสารเคมีแล้วไม่กำจัด กระจายอยู่ทั่วประเทศ ในพื้นที่ภาคตะวันออก พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บางที่มีแคดเมียม (สารปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี) และสารเคมีตัวอื่นๆ และคดีความกับโรงงานในลักษณะเดียวกัน จะเอาผิดกับเครือข่ายโรงงานอย่างไร และมีมาตรการอะไรที่ป้องกันไม่ให้ไทยเป็นถังขยะอุตสาหกรรมของโลก

“เอกนัฏ” ตอบว่า เมื่อเจอผู้กระทำผิดก็ต้องดำเนินคดี ในกรณีของวิน โพรเสส เห็นความเชื่อมโยงไปถึงบริษัทเอกอุทัย ที่พระนครศรีอยุธยา โรงงานที่อำเภอภาชี รวมถึงเอกอุทัยที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และที่ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่อื่นก็ยังพบอีกเช่นที่ จ.ราชบุรี โรงงานแวกซ์ กาเบจ และค้นพบอีกหลายพื้นที่เช่นเดียวกัน ทั้ง จ.ปราจีนบุรี จ.ลพบุรี จะเห็นทีมงานลงจับบ่อยครั้ง

“คดีวิน โพรเสส ไม่จบเพียงเท่านี้ ร้องทุกข์กล่าวโทษไปเฉพาะ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย แต่ตอนนี้เราร้องทุกข์กล่าวโทษทางคดีอาญาด้วย ในเรื่องการกระทำความผิดเกี่ยวกับแหล่งน้ำ รวมถึงความเป็นเป็นพิษในแหล่งน้ำ ไม่ใช่แค่วิน โพรเสส ที่เดียว ทุกบริษัทที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องทั้งหมดได้ร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งกับ สภ.ในพื้นที่ และตำรวจสอบสวนกลางด้วย”

คุณเอกณัฏบอกอีกว่า ยินดีรับทุกเบาะแส สามารถแจ้งเข้ามาได้ และยืนยันว่าจะไม่ให้ใครมาหากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเด็ดขาด

“ผมประกาศไปทั่วประเทศเลยนะครับ ถ้าใครทำอยู่หยุดเดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านไม่หยุดผมจับแน่นอน ทั้งหมดเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ที่ระบบ แก้ที่ตัวกฎหมาย”

 

รัฐมนตรีอุตสาหกรรมบอกด้วยว่า คนทำธุรกิจที่ดีก็มี แต่มาติดปัญหาตรงธุรกิจเทาที่เน้นการจ่ายใต้โต๊ะที่มารับจ้างทำการกำจัดขยะอย่างไร้ความรับผิดชอบ

“จะกำจัดสีเทา สีดำ ไม่มีการต่อรอง ไม่มีการเปรียบเทียบปรับ ดำเนินคดีอย่างเดียว เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจสีขาวเกิดขึ้น ที่รับจ้างกำจัดขยะแบบมีความรับผิดชอบ ได้จัดวางระบบติดตามตรวจสอบทั่วประเทศ ของการกำจัดขยะอุตสาหกรรมทั้งหมดเพื่อจัดระบบใหม่ เพื่อให้ขยะอุตสาหกรรมเหล่านี้ถูกกำจัดอย่างถูกต้อง 100% และไม่มีการลักลอบนำเข้า ไม่ให้ประเทศไทยถูกตราหน้าว่าเป็นโรงขยะของโลก”

สิ่งสำคัญที่สุดเรื่องนี้ต้องขอการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะจะต้องออกกฎหมายใหม่ ปัจจุบันไปจัดการกับขยะอุตสาหกรรมด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฯ ไม่ได้มีเจตนาจัดการผู้ที่ลักลอบนำเข้าขยะแล้วสร้างความเสียหายให้กับประชาชนและสิ่งแวดล้อม โทษมีเพียงแค่ 2 ปี ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.โรงงานฯ จะทำให้ตัวกฎหมายมีความสับสน เพราะกฎหมายมีไว้เพื่อจัดระเบียบกลุ่มผู้ประกอบการที่ผลิตของดีอย่างสุจริต

เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องร่างกฎหมายใหม่ คือ พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมนำร่างไปปรึกษากับทั้งสมาชิกสภา ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด กฎหมายฉบับนี้ผ่านการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะอุตสาหกรรมทั้งหมด ไปศึกษาดูงานกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำบทเรียนมาปรับใช้กับประเทศไทย

“ผมยืนยันว่าสิ่งที่จะทำคือต้องมีกฎหมายนี้ขึ้นมาให้ได้ครับ กำหนดโทษให้หนักพอ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับได้ จะต้องจัดตั้งกองทุนเพื่อรวบรวมเงินค่าปรับทั้งหมดไว้สำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่วิน โพรเสส ไม่ต้องรอของบฯ กลาง ของบฯ ประจำปี เพราะเจตนาต้องการนำคนกระทำความผิดมารับผิดชอบ ไม่ควรไปรบกวนเงินภาษีของประชาชนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสร้างปัญหานี้เลย”

คุณเอกณัฏประกาศกลางสภา

 

นอกเหนือจากความพยายามแก้ปัญหา “วิน โพรเสส” แล้ว คุณเอกณัฏยังโชว์บทบาทในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ด้วยการส่งทีมลุยสุ่มตรวจโรงงานที่จะต้องติดตั้งระบบตรวจสอบการระบายพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System : CEMs)

ทีมตรวจสอบที่คุณเอกณัฏส่งไปลุยโรงงานน้ำตาล ที.เอ็น. จำกัด ที่ ต.แก่งกูด อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี พบปล่อยควันดำและมีกลิ่นเหม็นจากการรั่วไหลของน้ำโมลาสหรือกากน้ำตาล ส่วนปล่องระบายควันนั้น โรงงานไม่ได้ติดตั้งตามหลักวิชาการ ไม่มีบันไดขึ้นไปตรวจวัดค่าปริมาณสารเจือปนในอากาศได้ เป็นพฤติการณ์จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี

คุณเอกณัฏมีคำสั่งให้โรงงานน้ำตาล ที.เอ็น. หยุดหีบอ้อยในทันทีและให้ปรับปรุงจุดตรวจวัดของปล่องระบายของระบบบำบัดมลพิษอากาศพร้อมทั้งตรวจวัดวิเคราะห์ค่ามลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ภายในวันที่ 31 มกราคม 2568 ถ้าผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนดจึงจะอนุญาตให้เปิดโรงงาน

ก่อนปิดท้ายปีเก่าเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม คุณเอกณัฏออกคำสั่งให้โรงงานน้ำตาล 57 แห่งทั่วประเทศหยุดรับอ้อย 7 วัน ถึง 2 มกราคม เพื่อให้ประชาชนได้เที่ยวไร้ฝุ่นควันที่เกิดจากการลักลอบเผาอ้อยและสัญจรอย่างปลอดภัย ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยคืนอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่

 

อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น รัฐมนตรีอุตสาหกรรมชื่อเล่นว่า “ขิง” คนนี้ มีทีท่าทำงานจริงจังจนอยากจะชื่นชม อีกทั้งถ้าย้อนดูภูมิหลังประวัติการศึกษาก็ถือว่าเป็นคนเก่ง จบปริญญาตรีและปริญญาโทควบทั้งด้านวิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการบริหารจัดการ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษต้นแบบประชาธิปไตย

แต่น่าเสียดายที่ “ขิง” เขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองด้วยการตัดสินใจกระโดดเข้าร่วมขบวนโค่นล้มระบอบ “ทักษิณ” ปลุกม็อบระดมมวลชนเคลื่อนไหวทำลายการเลือกตั้ง อ้างความชอบธรรม ปิดคูหาเลือกตั้ง สร้างความอลหม่านไปทั่ว ผลักไสประเทศไทยให้หวนกลับไปสู่อุ้งมือคณะรัฐประหารและตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบ “ประยุทธ์” นานถึง 9 ปี

สถานะของประเทศหล่นวูบ คนไทยตกอยู่ในกับดักความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ห่างกันลิบลับระหว่างคนรวยกับคนเดินดินกินข้าวแกง เศรษฐกิจพังยับ ส่งออกตกต่ำ ขายแต่ของเทรนด์เก่าๆ

การพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์หยุดอยู่กับที่ ไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่มีสินค้าตีตรา “เมด อิน ไทยแลนด์” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้คนไทยวางขายในตลาดโลก มิหนำซ้ำระบบการศึกษาทรุดร่วงถอยติดอันดับรั้งท้ายเพื่อนบ้าน ความสามารถในการแข่งขันลดลง อนาคตประเทศไทยยังไม่เห็นความสดใสเจิดจรัส

วันนี้ “ขิง” สลัด “ผี” กปปส.ออกจากตัวแล้วเข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล “แพทองธาร” พร้อมสร้างวาทกรรมใหม่ “ต้องทำงานโดยคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าคิดถึงบ้านเมือง ก็ทำงานร่วมกันได้”

“ขิง” ทิ้งอดีตไว้ข้างหลังให้ผู้ร่วมขบวนโค่นล้มรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่มาจากระบอบการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยเอาไปศึกษาเรียนรู้หาสาเหตุทำไมนักการเมืองไทยจึงคำนึงผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าคำสัญญาที่ให้ไว้กับมวลมหาประชาชน •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]