จากปู่ถึงหลาน : การเมืองท้องถิ่น-เลือกตั้งท้องถิ่น (จบ)

รายงานพิเศษ | ธเนศวร์ เจริญเมือง

 

จากปู่ถึงหลาน

: การเมืองท้องถิ่น-เลือกตั้งท้องถิ่น (จบ)

 

การเมืองและการเลือกตั้งท้องถิ่นในทศวรรษหน้า

นับแต่การปฏิรูประบบราชการให้อำนาจส่วนกลางบังคับบัญชาการบริหารทุกๆ ระดับในปี 2435 ตามด้วย พ.ร.บ.ระเบียบริหารราชการแผ่นดินในปี 2476 ที่ภายหลังแก้ไขหลายครั้งด้วยมาตราที่ครอบงำองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไว้

ชี้ให้เห็นว่า ผู้นำสยามรัฐคุ้นชินกับอำนาจนิยม หมิ่นแคลนท้องถิ่นทั้งหวาดระแวงว่าพวกเขาจะแยกตัวออกไปเป็นอิสระ

ไม่เคยมีความคิดว่า คนไทยเหมือนกัน พูดภาษาคนละสำเนียง แต่ใจดวงเดียวกัน คือไทยหนึ่งเดียว

ด้วยทัศนะอันคับแคบและไม่สนใจศึกษาค้นคว้า วันนี้ เราจึงได้เห็นความล้าหลังของระบบการเมือง กฎหมาย และระบบการศึกษา ฯลฯ ที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ที่คนรุ่นใหม่ตื่นตัวมากขึ้นๆ มองเห็นปัญหาสารพัด และลุกขึ้นมาถามว่า เหตุใดประเทศของเราจึงล้าหลังเช่นนี้

เรามีสินค้านานาชนิดและแฟชั่นต่างๆ ทันสมัยไม่ต่างจากประเทศที่เจริญแล้ว แต่เรากลับประสบปัญหามากมายที่ประเทศพัฒนาเขาข้ามผ่านไปนานแล้วนับศตวรรษ

และนี่คือประเทศที่ต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่

 

หนึ่ง ลูกหลานที่รักทั้งหลาย เราต้องเร่งศึกษาเรียนรู้ประสบการณ์และบทเรียนจากต่างประเทศ

ประเทศของเราค่อนไปทางประสบการณ์การสร้างประเทศของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย เมื่อศึกษาพัฒนาการและบทเรียนจากญี่ปุ่น เราพบว่าญี่ปุ่นมีการพัฒนามายาวนาน สามารถยกระดับจากประเทศเกาะเล็กๆ ไปทำสงครามและเอาชนะจีนและรัสเซีย และสามารถยึดครองเกาหลีเป็นเมืองขึ้นได้ในปี 1910 และที่สำคัญก็คือ การจับมือกับเยอรมนีและอิตาลีก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 บุกเข้าโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของสหรัฐ

เมื่อฝ่ายพันธมิตร (สหรัฐ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-รัสเซีย) รวมพลังกันเอาชนะฝ่ายอักษะได้เป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 พร้อมกับจีนกลายเป็นรัฐสังคมนิยมนำโดยเหมาเจ๋อตงในปี 2492 สหรัฐจึงสรุปบทเรียนครั้งสำคัญ นั่นคือ จะปล่อยให้ญี่ปุ่นปกครองโดยระบอบเผด็จการอนุรักษนิยมต่อไปอีกไม่ได้ เพราะจะทำให้ญี่ปุ่นประสบปัญหา, อ่อนแอลง และหันไปหาลัทธิสังคมนิยม

สหรัฐในฐานะผู้ชนะสงครามโลก และรับผิดชอบฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เผชิญทั้งรัสเซียและจีนจึงเข้าจัดระบบการบริหารญี่ปุ่นเสียใหม่

1. ให้ระบบจักรพรรดิของญี่ปุ่นอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง

2. ยกเลิกกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นให้เหลือเพียงกองกำลังป้องกันตนเองที่มีขนาดเล็ก

3. สถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มั่นคง พัฒนาระบบพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง

4. ปฏิรูประบบการศึกษาให้เกิดพลเมืองที่เข้มแข็ง ยึดมั่นในประชาธิปไตย

5. ยกเลิกระบบทุนใหญ่ที่ผูกขาดและครอบงำเศรษฐกิจของประเทศ

และ 6. ปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ให้มีผู้ว่าฯ เลือกตั้งทุกจังหวัด ฯลฯ ส่งผลให้ญี่ปุ่นผงาดขึ้นมาหลังปี 2490

 

เกาหลีใต้และอินโดนีเซียต่างมีจุดเหมือนและจุดต่างที่เป็นบทเรียนสำหรับรัฐไทย เกาหลีใต้เร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก มีกำลังกรรมกรที่เข้มแข็งจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็เผชิญกับระบอบเผด็จการทหาร ซึ่งเหมือนกับอินโดนีเซียหลังประกาศเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในปี 2488

บทเรียนสำคัญของเกาหลีใต้ คือ ต่อสู้กับกองทัพและระบบราชการที่เน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย

บทเรียนสำคัญของอินโดนีเซียคือ รัฐบาลอินโดนีเซียปฏิเสธข้อเรียกร้องของชาวอีสต์ ติมอร์เพื่อได้สิทธิปกครองตนเอง และส่งกำลังทหารเข้าควบคุมและปราบปรามผู้เรียกร้อง ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตนับแสนคนในช่วง 23 ปี (2519-2542)

ครั้นมีการลงประชามติในปี 2545 ชาวอีสต์ ติมอร์จึงไปลงประชามติ 78.5% ขอแยกจากอินโดนีเซียไปจัดตั้งรัฐอิสระของตนเอง และปฏิเสธอีกข้อเสนอหนึ่งคือให้ได้สิทธิในการปกครองท้องถิ่นชนิดพิเศษ

เมื่อเกิดพายุสึนามิในปี พ.ศ.2547 ที่ถล่มเกาะภูเก็ตและพังงาในไทย และเฉพาะที่เขตอาเจะห์ (Ajeh) ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย มีคนเสียชีวิตถึง 2 แสนกว่าคน รัฐบาลอินโดนีเซียได้ตระหนักถึงผลของการปราบปรามคนท้องถิ่น จนต้องสูญเสียอีสต์ ติมอร์ ไปในปี 2545 และเขตอาเจะห์ซึ่งมีขบวนการเรียกร้องขอสิทธิในการปกครองตนเองมายาวนานเช่นเดียวกับอีสต์ ติมอร์ก็ประสบเคราะห์กรรมรุนแรงจากภัยธรรมชาติ

ในสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลอินโดนีเซียจึงตัดสินใจยกอาเจะห์เป็นเขตการบริหารพิเศษ (Special Administrative Area) ในปี 2548 เพื่อให้สิทธิในการบริหารท้องถิ่น และจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ โดยตรงจากคนท้องถิ่นในปีถัดมา

ด้วยหวังว่าอินโดนีเซียจะไม่สูญเสียอาเจะห์เช่นกรณีอีสต์ ติมอร์ ที่เกิดก่อนหน้า

 

ในกรณีของเกาหลีใต้ ระบอบเผด็จการทหารที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 (2 ปีหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ) ขณะที่มีความสัมพันธ์กับสหรัฐใกล้ชิดมากขึ้นเป็นลำดับ มีชาวเกาหลีใต้ไปศึกษาและทำงานในสหรัฐเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน การพัฒนาของอุตสาหกรรมเกาหลีก็ก้าวรุดหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับขบวนการกรรมกร

เกาหลีใต้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ทางการเมืองดังกล่าวทั้งจากสหรัฐและญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ จึงไปสู่การเติบโตของขบวนการประชาธิปไตยของชาวเกาหลีใต้ และนำไปสู่การโค่นรัฐบาลเผด็จการชุน ดูฮวาน ในปี 1988 (2531) และผลักดันให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เป็นพลเรือน การแก้ไขบางมาตราของรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย นำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและสภาจังหวัดโดยประชาชน (มิใช่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารเช่นในอดีต) เริ่มในปี 2534 และในปี 2548 ทั่วทั้งเกาหลีใต้ก็ได้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดโดยประชาชน

ที่อินโดนีเซีย ผลพวงของการปกครองด้วยระบอบเผด็จการของซูฮาร์โต (พ.ศ.2510-2541) รวม 31 ปี ที่นำไปสู่การต่อต้านของขบวนการประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นๆ เป็นลำดับ ความยาวนานของระบอบเผด็จการและการเติบโตของขบวนประชาธิปไตย และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2540 ในที่สุดประธานาธิบดีซูฮาร์โตก็ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง นำไปสู่การปฏิรูประบอบการเมืองครั้งใหญ่เป็นขั้นๆ เช่น ในปี 2547 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศเป็นครั้งแรก

ต่อมาในปี 2558 มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ โดยประชาชนเป็นส่วนใหญ่ของ 38 เขตทั่วประเทศ โปรดสังเกตว่ามีระบบผู้ว่าฯ เลือกตั้งของเขตอาเจะห์ไปแล้ว

 

สอง การเรียนรู้ประสบการณ์ในต่างประเทศอาจเพิ่มพูนขึ้นจากการไปศึกษาต่อหรือไปทำงานหรือท่องเที่ยว และเรียนภาษาตะวันตก เช่น ภาษาอังกฤษ และภาษาตะวันออก (เช่น จีนหรือญี่ปุ่น) ให้อ่านออกเขียนได้ พูดได้ นับว่ามีความสำคัญยิ่งในโลกยุคนี้ และแน่นอน ภาษาไทยและภาษาท้องถิ่นลูกหลานต้องรักษาไว้

สาม ศึกษาหาลักษณะสำคัญของความเป็นมาของการเมืองท้องถิ่นและการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในไทย โดยเฉพาะแม้ว่าจะถูกทำให้ชะงักงันไปหลายครั้ง แต่ปัญหาท้องถิ่นก็ไม่เคยจากไปไหน มีแต่ต้องหาทางแก้ไขจัดตั้งกลุ่มคนรักท้องถิ่นมาศึกษาความเป็นมาของท้องถิ่น แสวงหาจุดแข็งจุดอ่อน ขอความรู้และแง่คิดจากผู้อาวุโสท้องถิ่น เพื่อความเข้าใจท้องถิ่นที่มากขึ้นและหาแนวทางแก้ไขต่อไป

สี่ เชิญผู้มีความรู้และความสามารถในการพัฒนาท้องถิ่นอื่นๆ มาบรรยายเพื่อกระตุ้นความตื่นตัวของคนในท้องถิ่นและขยายวงคนรักท้องถิ่นให้กว้างออกไป

ห้า ศึกษาการเมืองและการบริหารในพื้นที่ หาความรู้จากสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารในยุคที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แล้วกำหนดแนวทางทำงานต่อไป เช่น การจัดตั้งกลุ่มใหม่ หรือเข้าร่วมกลุ่มที่มีอยู่แล้ว และค้นหาสมาชิกใหม่ๆ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปมีบทบาทด้านต่างๆ ในขั้นต่อไป และจัดตั้งทีมทำงานการเมืองเป็นขั้นๆ การเตรียมงานในข้อนี้ เรื่องหลักอยู่ที่การหาคนมาร่วมงานและพัฒนาความรู้ความสามารถ ที่แต่ละคนสามารถพัฒนาสมรรถภาพได้หลายๆ แบบ และสลับตำแหน่งกันได้ในระยะยาว

หก ท้องถิ่นของเรา เราก็ต้องรักและช่วยกันดูแลและพัฒนาให้ดี ไม่มีใครรักท้องถิ่นเท่ากับคนในท้องถิ่นเอง การเข้าร่วมกลุ่ม เตรียมตัวลงสมัครเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือทำงานด้านอื่น-ตำแหน่งอื่นๆ ให้ท้องถิ่นจึงเป็นภารกิจสำคัญของลูกหลานวัยหนุ่มสาวทุกๆ คน

 

ประเด็นฝากฝัง

ความตื่นตัวของผู้คนในเรื่องการเมืองและการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเป็นเรื่องดียิ่งเพราะเมื่อสร้างคนสนใจการเมืองท้องถิ่น เขาก็ย่อมเรียนรู้การเมืองระดับชาติไปด้วย เพราะการเมืองระดับชาติมีผู้แสดงหลักอยู่แล้วตลอดมา และการเมืองระดับชาติทำหน้ที่เป็นครูมาตลอด

ดังนั้น ต่อไปในอนาคต มีคนสนใจทำงานการเมืองการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น ก็จะเป็นทั้งพลังที่เติบโตเพื่อปฏิรูประบบการเมืองระดับชาติให้ดีขึ้น และสร้างสรรค์การเมืองการบริหารท้องถิ่นให้มีบทบาทมากขึ้น

ทำให้ทั้งสองเอื้ออำนวยข้อดีให้กันและกัน

กลายเป็นความสัมพันธ์ 2 ทาง ซึ่งจะยิ่งเร่งผลักดันสังคมประชาธิปไตยให้ปรากฏเป็นจริงในประเทศเราเร็วยิ่งขึ้น…