ขนส่งทางราง ที่รางเลือน | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

 

ขนส่งทางราง

ที่รางเลือน

 

เมื่อในราวกลางเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนที่เรียนหลักสูตรสำหรับผู้ใหญ่หลักสูตรหนึ่งรุ่นเดียวกันกับผม และทุกวันนี้ก็มีอายุราว 70 หรือใกล้ 80 ปีกันแล้วทุกคน เกิดมีอารมณ์สนุกสนานอยากไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน และไม่ยอมขึ้นเครื่องบินด้วยนะครับ อยากจะทดลองการนั่งรถไฟตู้นอนจากสถานีหัวลำโพงไปเมืองเชียงใหม่ดูบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่ามีรสชาติเป็นอย่างไร

น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ไปรถไฟขบวนนี้ เพราะมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นจริงๆ จึงไม่มีโอกาสได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังในที่นี้

ทราบแต่ข้อสรุปว่าทุกคนมีความสุข และรอดชีวิตกลับมาโดยสวัสดิภาพทุกคน

 

เมื่อพูดถึงเรื่องรถไฟขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงตัวเองว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมขึ้นรถไฟนั้นนานสักกี่ปีแล้ว และขึ้นจากไหนไปไหน

เชื่อหรือไม่ครับว่า นานจนกระทั่งจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมขึ้นรถไฟนั้นเมื่อไหร่กันแน่ จำได้แต่ว่าเป็นการนั่งรถไฟสายยาวจากกรุงเทพฯ ขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง แล้วไปสุดสายปลายทางที่หนองคายเพื่อเดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปเที่ยวต่อที่นครหลวงเวียงจันทน์ เป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนานในเวลากลางคืน

มีความจำแบบพิลึกพิลั่นว่า รถไฟออก 6 โมงเย็นจากหัวลำโพง แต่สองทุ่มแล้วข้อมูลรถไฟยังอยู่ที่ดอนเมืองอยู่เลย เพราะวันเดียวกันนั้นมีอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถยนต์ ทำให้รถต้องเสียเวลากว่าจะ “เคลียร์” กันได้ ทำให้เราไปถึงปลายทางช้าไปประมาณ 2 ชั่วโมง

ครั้งนั้นน่าจะเป็นประสบการณ์การนั่งรถไฟไทยครั้งล่าสุดของผม

แต่ถ้านึกไปตลอดถึงเรื่องการเดินทางด้วยยานพาหนะที่วิ่งอยู่บนรางแล้ว นอกจากการนั่งรถไฟ ผมยังนั่งรถไฟรถไฟฟ้าและนั่งรถใต้ดินที่ให้บริการอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครอยู่เสมอ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังผูกปิ่นโตเป็นแฟนประจำอยู่

ถ้าเมื่อไหร่ผมมีนัดหมายอยู่บนเส้นทางที่สามารถใช้รถไฟฟ้าหรือใต้ดินเป็นพาหนะได้แล้ว ผมเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านตัวเองไปจอดไว้ที่อาคารจอดแล้วจรตรงแยกรัชดาภิเษกตัดกับลาดพร้าว จากนั้นก็ใช้ยานพาหนะดังกล่าวเพื่อนำพาตัวเองไปสู่จุดหมายปลายทางแบบควบคุมเวลาได้แม่นยำพอสมควร

เมื่อปี 2521 ผมเดินทางจากเมืองไทยไปเรียนหนังสือที่นิวยอร์ก และครั้งนั้นเป็นคราวแรกที่ผมรู้จักกับรถใต้ดินที่มหานครแห่งนั้น เป็นปกติวิสัยเหมือนกับนักเรียนไทยหรือคนไทยทั่วไปที่เวลาเดินทางไปเรียนหนังสือหรือไปทำธุระ ไปท่องเที่ยวอะไรก็แล้วแต่ที่ต่างประเทศ เมื่อได้พบเห็นอะไรก็อดที่จะเปรียบเทียบหรือนึกต่อไปไม่ได้ว่า บ้านเรามีแล้วหรือยัง บ้านเรามีดีกว่าเขาหรือไม่ และทำไมบ้านเราจึงมีหรือไม่มีสิ่งนั้นๆ

แน่นอนครับว่าในเมื่อผมเห็นเมืองนิวยอร์กมีรถใต้ดิน และผู้คนในมหานครแห่งนั้นเดินทางไปไปไหนมาไหนโดยใช้รถใต้ดินเป็นหลัก ถึงแม้สถานีรถใต้ดินแต่ละสถานีจะมีกลิ่นเหม็นอับอย่างไรก็ตาม แถมยังมีหนูวิ่งไปมาอยู่ตามรางรถใต้ดินให้เราได้พบเห็นอยู่เสมอ แต่โครงข่ายของเขาก็กว้างขวางทั่วถึงและเป็นบริการสาธารณะที่ใช้การได้ดีจริง

ในเวลานั้นผมไม่ได้นึกไปไกลหรอกครับว่า วันหนึ่งข้างหน้าซึ่งหมายถึงเวลานี้ ผมจะมีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้าที่เหาะเหินเดินอากาศได้อยู่ข้างบนเสาสูงเหนือถนน และรถใต้ดินที่มุดไปโผล่ตามที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ที่เคยถูกปรามาสว่าไม่มีทางจะมีรถใต้ดินกับเขาได้ เพราะเป็นเมืองที่มีน้ำท่วมประจำและดินอ่อน

แต่วันนี้คำสบประมาทดังกล่าวก็ถูกหักล้างไปแล้วโดยสิ้นเชิง

 

สําหรับผมซึ่งแม้จะเกษียณอายุแล้วแต่ยังวนเวียนอยู่ในระบบราชการอยู่มากพอสมควร ผมไม่แปลกใจที่ปัจจุบันนี้เรามีกรมขนส่งทางราง หรือเรียกติดปากกันโดยย่อว่า กรมราง เป็นส่วนราชการระดับกรมสังกัดอยู่ในกระทรวงคมนาคม

กรมที่ว่านี้ดูแลรับผิดชอบอะไรก็แล้วแต่ที่วิ่งอยู่บนราง ตั้งแต่รถไฟ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน หรือถ้าต่อไปในวันข้างหน้าจะย้อนกลับไปมีรถรางแบบสมัยเมื่อผมยังเป็นเด็กอยู่ ก็จะหนีกรมรางที่ว่านี้ไปไม่พ้น

แต่ภารกิจของเขาไม่ใช่การลงไปขับรถไฟหรือสร้างรถใต้ดินเองนะครับ หากแต่เป็นการกำกับดูแลในเชิงนโยบายและเชิงระบบ และจำเป็นต้องดูให้กว้างขวางไปถึงการใช้ระบบรางเชื่อมต่อกันกับประเทศที่อยู่โดยรอบบ้านเราด้วย

เมื่อวันก่อนนี้ผมเพิ่งดูข่าวโทรทัศน์และได้พบเห็นข่าวธุรกิจเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื้อหาเป็นเรื่องของการขนส่งกุ้งแช่แข็งจากภาคใต้ของเราด้วยวิธีบรรทุกสินค้านั้นขึ้นรถบรรทุกวิ่งไปสุดทางที่จังหวัดหนองคาย ทำกรรมวิธีสินค้าผ่านแดนเสียให้เรียบร้อย เมื่อข้ามไปถึงเวียงจันทน์แล้วก็บรรทุกกุ้งใส่รถไฟที่เมืองจีนมาทำไว้สำหรับขนทั้งคนและขนทั้งสินค้าจากเวียงจันทน์ไปทางตอนใต้ของจีน จากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงกุ้งแช่แข็งก็จะไปอยู่ในร้านอาหารในเมืองจีนทั้งหลายแล้ว

รายงานข่าวบอกว่า ด้วยวิธีการอย่างนี้ทำให้สินค้าจากตอนใต้ของเมืองไทยไปถึงตอนใต้ของเมืองจีนได้เร็วกว่ากำหนดเวลาแบบเดิมซึ่งต้องใช้การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นพาหนะอย่างเดียวได้ถึง 10 กว่าชั่วโมง

ทำให้กุ้งยังสดอยู่ กินอร่อย กินแล้วก็อยากกินอีก และเมืองไทยก็พร้อมจะขายอยู่แล้ว

 

ผมรู้สึกว่าดีเหมือนกันที่ได้ชมข่าวที่ว่านี้เมื่อตอนสองทุ่มเศษของวันนั้น เพราะวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่จะถึงนี้ผมกำลังมีแผนที่จะเดินทางไปชมกิจการของด่านชายแดนไทยที่จังหวัดหนองคายอยู่พอดี ด่านแห่งนั้นเปรียบเหมือนประตูเชื่อมต่อจากไทยไทยเข้าสู่ประเทศลาวได้อย่างสะดวกสบาย และสามารถเชื่อมโยงไปหาประเทศจีนซึ่งเป็นคุณพี่ใหญ่ในหลายมิติอยู่ในปัจจุบันได้โดยไม่ยากเย็นเลย

การเดินทางด้วยพาหนะที่ใช้รางในความหมายอย่างกว้างเช่นนี้ อันที่จริงเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วเมืองไทยของเราได้เริ่มต้นขึ้นไม่ช้ากว่าประเทศอื่น และอาจจะเร็วกว่าอีกหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป เพราะเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีกิจการรถไฟขึ้นในกรุงสยามนั้น สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเริ่มต้นพร้อมๆ กับญี่ปุ่นเลยทีเดียว

แต่ตอนนี้การขนส่งทางรางของญี่ปุ่นเขาพัฒนาไปได้ไกลแสนไกล การใช้รถไฟรถรางของญี่ปุ่นผูกพันเข้ากับวิถีชีวิตของเขาอย่างแนบแน่น ในขณะที่ของเรานั้น… ( โปรดเติมคำในช่องว่าง ให้ได้เนื้อความบริบูรณ์ 10 คะแนน) ฮา!

 

ผมคิดว่าคงไม่ผิดจากความจริงถ้าผมจะบอกว่า คนญี่ปุ่นที่ออกจากบ้านในแต่ละวันไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 หรือ 60 ใช้รถไฟเป็นยานพาหนะด้วยกันทั้งสิ้น

เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว ในปี 2534 ต่อเนื่องกับปี 2535 ผมไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น หรือพูดให้เฉพาะเจาะจงก็ต้องบอกว่าไปอยู่ที่เมืองเกียวโต มีกำหนดหนึ่งปีบริบูรณ์ เป็นการไปทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกียวโต มีฐานะเป็นนักวิจัยอยู่ที่ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักวิจัย มหาวิทยาลัยได้จัดให้ผมมีห้องพักอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัย ในย่านที่เรียกว่า ชูกากุอิน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมหาวิทยาลัยขึ้นไปหน่อยหนึ่ง

คำว่า “หน่อยหนึ่ง” นี้ คำนวณเป็นระยะทางแล้วได้หลาย “กิโลแม้ว” อยู่

คือ ถ้าเดินก็เดินกันได้เหมือนกัน แต่น่าจะใช้เวลาในราวชั่วโมงครึ่งหรือ 2 ชั่วโมง และถ้าทำอย่างนั้นทั้งขาไปขากลับ เป็นอันว่าวันนั้นไม่ต้องวิจัยวิจารณ์อะไรแล้ว เพราะหมดแรงก่อนจะอ่านหนังสือแน่

ในแต่ละวันผมจึงต้องใช้วิธีเดินทางด้วยการเดินเท้าออกจากหอพัก ไม่กี่นาทีผมก็ไปถึงสถานีรถไฟชูกากุอิน รอไม่เกิน 5 นาทีรถไฟขบวนสั้นมีเพียงแค่สองโบกี้ก็จะวิ่งมารับผมและผู้โดยสารคนอื่นเพื่อเดินทางไปสุดสายที่สถานีเดมาชิยานาหงิ โดยใช้เวลานั่งรถไฟช่วงนี้ประมาณ 10 นาที จากสถานีเดมาฯ (ผมเรียกของผมว่าอย่างนั้น) เดินเท้าอีกประมาณ 15 นาทีก็ถึงห้องทำงานของตัวเอง

ตอนเย็นเลิกงานแล้ว ผมก็เดินทางย้อนกลับบ้านด้วยวิธีการและเส้นทางอย่างเดียวกัน

ปลายปีที่ผ่านมา ผมไปท่องเที่ยวเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่เมืองเกียวโตกับเมืองโกเบหกคืน ไม่มีวันไหนที่ไม่ขึ้นรถไฟ ตั้งแต่เหยียบเท้าก้าวย่างลงสนามบินคันไซ ซึ่งเขาใช้วิธีถมทะเลเพื่อสร้างสนามบินเมื่อหลายสิบปีก่อน และผมมีแผนเดินทางไปโรงแรมที่พักกลางเมืองเกียวโต ผมขึ้นรถไฟรวดเดียวจากสนามบินไปถึงสถานีกลางเมืองเกียวโต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ความปรารถนาของผมก็สัมฤทธิผล

รถไฟของเมืองญี่ปุ่นมีหลายชนิด มีหลายเส้นทาง และมีหลายวัตถุประสงค์ ถ้าจะเดินทางให้รวดเร็วเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่หรือเชื่อมระหว่างภูมิภาค ก็ต้องใช้รถชินคันเซน

รถไฟสายของเมืองญี่ปุ่นเป็นรถไฟแบบไม่รีบร้อน นั่งชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ บางขบวนก็เรียกตัวเองว่ารถไฟสายโรแมนติกเสียด้วยซ้ำ เพราะนั่งรถไฟไปด้วยกันสองคนพร้อมกับนั่งกุมมือกันไปตลอดทาง รถไฟแบบนี้ก็มีคนชอบนั่งมากเหมือนกัน

ทางฝั่งเมืองไทยของเรามีโบกี้รถไฟเก่าที่ญี่ปุ่นบริจาคให้การรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วเรามาซ่อมปรับปรุงให้ทันสมัยหน่อยหนึ่ง เมื่อนำออกให้บริการได้อารมณ์เหมือนรถไฟสายโรแมนติกเหมือนกัน ดูเหมือนจะชื่อขบวน Royal Blossom หรืออย่างไรนี่แหละ

วิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นจึงผูกพันอยู่กับรถไฟเป็นอย่างยิ่ง สถานีรถไฟเป็นหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าสถานีรถไฟ เพราะเป็นชุมทางของสารพัดสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านค้าที่มีอยู่ทั้งบนดินใต้ดิน จนกระทั่งเหมือนเมืองใต้บาดาล เป็นต้นทางของรถเมล์หลายสายที่จะวิ่งกระจายรับส่งผู้โดยสารออกไปตามเส้นทางต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

น่าเสียดายที่เมื่อในราว 10 ปีที่แล้วมา บ้านเรามีแนวคิดที่จะมีรถไฟความเร็วสูงหรือความเร็วปานกลางก็แล้วแต่ สำหรับให้บริการสำหรับเชื่อมต่อภูมิภาคสำคัญของเมืองไทยเข้าด้วยกัน โดยมีจุดแวะตามเมืองใหญ่ทั้งหลาย

แต่แล้วความคิดข้างต้นก็มีอันต้องล้มหายตายจากไปเสียก่อนที่จะมีการลงมือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน

ในเวลาเทศกาลพิเศษเช่นปีใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นไป หรือเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังใกล้จะมาถึงอีกสองเดือนข้างหน้าก็ดี เราจึงยังเห็นรถจำนวนมหาศาลวิ่งคลอเคลียกันไปโดยใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมงจึงจะถึงบ้านที่ปลายทาง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้แทบทุกนาที

การลงทุนทำเมกะโปรเจ็กต์อะไรก็แล้วแต่ในเมืองไทยของเรา หลายครั้งที่เราพบว่า การตัดสินใจจะทำหรือไม่ทำโครงการนั้นๆ เป็นการตัดสินใจบนเหตุผลที่ต่อสู้กันทางการเมือง คนทำเป็นพวกเดียวกับเราหรือเป็นคนต่างพวก หรือด้วยความคิดที่ว่า ถ้าขืนปล่อยให้ทำต่อไป เดี๋ยวจะโกงกัน เพราะฉะนั้น อย่าทำเสียเลยดีกว่า

ส่วนเหตุผลที่แท้คือ การมองไปไกลในอนาคตระยะยาว ชั่งน้ำหนักทางได้ทางเสียให้รอบคอบ ความคุ้มค่าจากการลงทุนซึ่งมีมุมมองได้หลายมิติ ไม่เฉพาะแต่ความคุ้มค่าทางการเงินเพียงด้านเดียว

แต่อาจจะหมายความรวมถึงการพัฒนาหรือเปิดโอกาสให้กับสังคมเมือง สังคมชนบทหรือท้องถิ่น ได้มีทางเลือกหรือประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ฯลฯ กลับถูกมองข้ามไปยังน่าเสียดาย

เวลาในชีวิตผมเหลืออยู่อีกไม่มาก ยอมรับตรงๆ ว่าไม่แน่ใจเลยครับว่า ผมจะอยู่ทันเห็นรถไฟบ้านเราพัฒนาไปอีกมากน้อย

หรือต้องรอญี่ปุ่นบริจาครถชินคันเซนให้สักขบวนสองขบวนเป็นปฐมฤกษ์เสียก่อน จึงจะขยับเขยื้อนเนื้อตัวของเราเองได้

จะเล่นกันแบบนั้นจริงๆ หรือครับ?