ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
อาชญากรรม | อาชญา ข่าวสด
ตร.-มหา’ลัยดังแจงปมโฉ่
อบรมอาสาตำรวจคนจีน
บิ๊กก้องลุยเอาผิดแอบอ้าง
กันจีนเทาใช้อัพโปรไฟล์
ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มาได้เพียงไม่กี่วัน วงการสีกากีก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอีก จากกรณีคอร์สอบรม “อาสาตำรวจ” ในโครงการฝึกอบรมนักศึกษานานานาชาติ คณะ Siam Global Innovation Academy มหาวิทยาลัยสยาม
หลังโลกโซเชียลแฉว่ามีการเก็บเงินค่าอบรมรายละ 38,000 บาท มีวิทยากรเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับพันตำรวจเอก
และเมื่อชาวจีนเหล่านี้ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับประกาศนียบัตร เสื้อกั๊ก และบัตรประจำตัวที่มีตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติแปะหรา ระบุว่าเป็นสมาชิกแจ้งเหตุข่าวอาชญากรรมและการจราจร
ขณะเดียวกัน ก็มีการแฉคลิปหนุ่มจีน รีวิวชวนเพื่อนร่วมชาติ มาอบรม “อาสาตำรวจไทย” ได้บัตรเจ้าหน้าที่ ได้เสื้อกั๊ก หมวก ฯ จ่าย จบครบ ติดต่อเขาได้โดยตรง เตรียมเปิดรุ่น 2 เร็วๆ นี้ ชวนมาจับคนเลวที่ไทยกัน ลงชื่อเลย!?
ซึ่งกรณีนี้ ทางเพจลุยจีนระบุว่าเป็นกิจกรรมเติมตังค์ ที่พวกคนจีนชอบมาอัพโปรไฟล์ที่ไทย
หลังเป็นข่าว วันที่ 3 มกราคม พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ก็มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน
พร้อมกับมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.นิเวชร์ งามลาภ ผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตํารวจนครบาล 3 และ พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ช่วยวงศ์ รองผู้กํากับการสืบสวน กองบังคับการตํารวจนครบาล 3 ที่ปรากฏภาพขณะเป็นวิทยากรให้คำบรรยายในหลักสูตรดังกล่าว มาช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งต้นสังกัด
อีกหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้กันคือ ตำรวจสอบสวนกลาง เพราะถูกนำชื่อและโลโก้ไปแอบอ้างติดหราอยู่ในใบรับสมัคร
ทำเอา “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ถึงกับควันออกหู สั่งให้ฝ่ายกฎหมายเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ภาษีเจริญ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับผู้แอบอ้างในทันที

พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ให้ข้อมูลว่า ชุดสอบสวนข้อเท็จจริงที่มี พ.ต.อ.สุทธิศักดิ์ วันที รอง ผบก.น. 3 เป็นประธาน ได้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งอาจารย์ชาวจีน, ผู้จัดชาวจีนซึ่งเป็นคนกลาง และนักศึกษาชาวจีนที่เข้าร่วมฝึกอบรมบางส่วน ส่วนผู้กำกับการสืบสวน และรองผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงมาเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่การสอบปากคำนายจาง ลี่ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า การอบรมดังกล่าวมีนายหลี่หมิงหลง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน เป็นผู้จัด
วัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้มีสมาชิกแจ้งข่าวเพื่อช่วยเหลือคนจีนด้วยกัน จึงประสานมายังนายลี ซึ่งเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยสยาม
โดยโครงการนี้มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้งหมด 27 คน เป็นคนจีน 26 คน คนไทย 1 คน
และในจำนวนคนจีน 26 คน แบ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสยาม 13 คน และบุคคลภายนอกอีก 13 คน ที่ผู้จัดนำเข้ามาร่วมอบรม
ซึ่งในส่วนที่เรียกเก็บเงินนั้น เก็บเฉพาะบุคคลภายนอก 13 คน ไม่ใช่นักศึกษา แต่มีการมาใช้สถานที่ภายในมหาวิทยาลัย
ส่วนเงินที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอก 13 คนนั้น ไปเข้ากระเป๋าใคร รวมถึงประเด็นที่ว่าทางมหาวิทยาลัยได้รับรู้เรื่องการจัดโครงการนี้หรือไม่ อยู่ระหว่างการสอบสวน
ส่วนตำรวจที่ไปเป็นวิทยากรจะได้ค่าตอบแทนด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่ไป เพราะระยะทางค่อนข้างไกล จากมีนบุรีไปถึงภาษีเจริญ
ซึ่งสาเหตุที่มีการประสานขอวิทยากรข้ามเขตพื้นที่ เป็นเพราะผู้จัดชาวจีนรู้จักเป็นการส่วนตัวกับรองผู้กำกับการสืบสวน เลยประสานงานทำหนังสือมา

ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ สน.ภาษีเจริญ พ.ต.อ.กิตติพงศ์ พันธ์ศรี รอง ผบก.น. 9 ในฐานะรักษาราชการแทนผู้กำกับการ สน.ภาษีเจริญ เปิดเผยว่า ตำรวจแจ้งข้อหากับนายหลี่หมิงหลง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน ในข้อหา “ใช้เครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พ.ศ.2482” ซึ่งนายหมิงเป็นผู้จัดและชักชวนบุคคลภายนอกซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 13 คนมาเข้าอบรมและเก็บค่าอบรม
เบื้องต้นเป็นการเข้ามามอบตัว จึงปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยเจ้าตัวให้การภาคเสธ และอยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติมว่ามีบุคคลใดนำสัญลักษณ์ไปใช้โฆษณาชักชวนหรือไม่
ส่วนชาวจีนที่เข้ามาอบรมจำนวน 13 คน เบื้องต้นสอบปากคำไปแล้ว 2 คน ให้การเบื้องต้นไม่ประสงค์แจ้งความกรณีถูกเรียกเก็บเงิน ซึ่งจ่ายเป็นเงินจำนวน 33,000 บาท จากราคา 38,000 บาท เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่การอบรมจากพัทยามาเป็นมหาวิทยาลัยสยาม
ส่วนที่เหลืออีก 11 คนตำรวจอยู่ระหว่างประสานเข้ามาให้ข้อมูล ซึ่งทราบเบื้องต้นว่ามีบางคนเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว
ส่วนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชาวจีนที่เข้าอบรม จำนวน 13 คน และคนไทย 1 คน ส่วนนี้ไม่ได้เรียกเก็บเงิน
ด้าน ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดี พร้อมคณะผู้บริหาร ออกแถลงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ คือบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัย จากการสอบสวนพบว่า
1. การอบรมหลักสูตรอาสาสมัครตำรวจบ้าน เป็นโครงการที่จัดขึ้นจากบุคคลภายนอก ที่รู้จักกับฝ่ายต่างๆ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดยมี ดร.จาง ลี่ อาจารย์ชาวต่างชาติของมหาวิทยาลัย อำนวยความสะดวกในการอบรมแก่นักศึกษาจีน ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่ได้ขออนุมัติจากมหาวิทยาลัย เป็นการกระทำส่วนตัวร่วมกับบุคคลภายนอก
2. การจัดอบรม เมื่อ 25-27 ธันวาคม 2567 โดย 25 ธันวาคม มีการเปิดอบรมที่ห้องเรียน 406 อาคาร 12 ม.สยาม ซึ่งไม่ได้ขออนุมัติในการขอใช้สถานที่กับมหาวิทยาลัย ส่วนวันที่ 26-27 ธันวาคม เป็นการอบรมนอกสถานที่
3. หนังสือขอความร่วมมือในการจัดทำโครงการร่างจากบุคคลภายนอก ลงชื่อลายมือชื่อ ดร.จาง ลี่ เป็นการใช้ตำแหน่งที่ไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบมหาวิทยาลัย เป็นการกระทำโดยพลการไม่ได้ขออนุญาตมหาวิทยาลัย
4. การเก็บเงินลงทะเบียนเข้าร่วมอบรม 38,000 บาท ดร.จาง ลี่ ยืนยันว่าผู้เข้าร่วมและบุคลากรไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน ส่วนการเก็บเงินจากบุคคลภายนอก ดร.จาง ลี่ ไม่ทราบมาก่อน กลุ่มที่ถูกสอบสวนยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้จ่ายเงินออกไปในกิจกรรมที่จัดขึ้นทั้งสิ้น การติดต่อประสานงาน ประกาศนียบัตร หมวก เสื้อกั๊ก สร้อยคล้องคอ บุคคลภายนอกเป็นผู้จัดเตรียม
ดร.พรชัยยังระบุว่ามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากกระทบต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก โดยจะดำเนินการทางวินัยและลงโทษตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยต่อไป
ขณะที่ ผศ.เวทิต ทองจันทร์ รองผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสยาม ชี้แจงว่า มหาวิทยาลัยสยามไม่มีตำแหน่ง “ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ” ดร.จาง ลี่ เป็นเพียงอาจารย์เท่านั้น

โผล่อีกคลิปเมื่อบัญชี TikTok ของผู้หญิงจีนคนหนึ่งที่เป็นนักร้อง มาทำงานสอนร้องเพลงในประเทศไทย โพสต์ภาพที่เธอใส่ชุดเครื่องแบบลักษณะเป็นชุดขาว มีการติดเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ต่างๆ อีกคลิปเป็นการอบรมของสมาคมกำลังสำรองรักษาดินแดน หลักสูตร “ผู้กำกับกำลังสำรองรักษาดินแดน” และพิธีประดับยศ ผู้กำกับตรี โดยเจ้าตัวใส่ชุดเครื่องแบบเต็มยศ
กรณีนี้ แหล่งข่าวกองทัพบกเปิดเผยว่า สมาคมกำลังสำรองรักษาดินแดนจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นสมาคมขึ้นตรงกับหน่วยงานราชการทหาร แต่มีชื่อพ้องกับหน่วยงานสังกัด หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน กองทัพบก อีกทั้งชุดการแต่งกายคล้ายชุดผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร ที่ทางกองบัญชาการรักษาดินแดนได้ฝึกอบรมให้กับครู อาจารย์ และผู้บริหารสถาบันการศึกษา เพื่อให้ไปกำกับดูแลนักศึกษาในสถาบันของตนเอง โดยมีการจัดอบรม และมอบใบประกาศนียบัตรถูกต้อง เมื่อเห็นการแต่งกายประชาชนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นหน่วยงานทหาร
ด้านกระทรวงมหาดไทยก็เต้น สั่งสอบทันที โดย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย ระบุ กระทรวงมหาดไทย โดยส่วนทะเบียนมูลนิธิและสมาคม (สมส.) สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบในเบื้องต้น พบชื่อ “สมาคมกำลังสำรองรักษาดินแดนไทย” จดทะเบียนจัดตั้ง เลขทะเบียนที่ จ.1697 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 84/12 หมู่ 7 ซอยทองปาน 1 ถนนท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
สำหรับกรณีที่ปรากฏข่าวกรณีสมาคมเข้าไปเกี่ยวข้องกับคอร์สอบรมแก่ชาวต่างชาติ หากสมาคมได้ดำเนินการจริง อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสมาคม โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ของสมาคมข้อ 4.3 ที่กำหนดว่า สนับสนุนกองทัพในเรื่องการฝึกคนในชาติให้เป็นกำลังสำรอง
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือให้สมาคมชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว อธิบดีกรมการปกครอง ในฐานะนายทะเบียนสมาคมมีอำนาจสั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 102 ต่อไปได้
กรณีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องขำๆ เพราะลำพังแค่เอาไปโพสต์อวดว่ามีคอนเน็กชั่นกับเจ้าหน้าที่ไทยก็ไม่ถูกต้องแล้ว หากเป็นจีนเทานำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย ย่อมถูกมองว่าเจ้าหน้าที่ไทยรู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้




สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022