พรรคประชาชน เจอ ‘ทางกันดาร’ แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ราบรื่น เจอทั้งเลื่อน-ทั้งต้าน

ต้องยอมรับว่าการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อผลักดันให้มี “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธง ที่พรรคการเมืองหลายพรรคนำมาใช้หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคประชาชน (ปชน.)

หลังจากจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งขั้นตอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ…. กลับต้องสะดุดหยุดลง เมื่อสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (ส.ว.) ต่างมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติ

โดยฝั่งวุฒิสภา หรือ ส.ว.เสียงข้างมาก ยืนยันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ตามการปรับแก้ของวุฒิสภาก่อนหน้านี้ โดยเกณฑ์การออกเสียงประชามติที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น หรือ Double Majority

ขณะที่ ส.ส.เสียงข้างมาก ก็โหวตยืนยันหลักการเสียงข้างมากชั้นเดียว หรือ Simple Majority

ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ต้องยับยั้งร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ…. ไว้ก่อน 180 วัน ฉะนั้น ความหวังและโอกาสที่จะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลชุดนี้ และทันต่อการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปในปี 2570 จึงริบหรี่เต็มที

 

แต่ทว่า เริ่มต้นปี 2568 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมืองหยิบยกนำขึ้นมาโฟกัสอีกครั้ง เนื่องจากช่วงสัปดาห์หน้า วันที่ 14-15 มกราคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา วางคิวพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม จำนวน 17 ฉบับ ที่บรรจุอยู่ในระเบียบวาระแล้ว โดยเป็นการแก้ไขรายมาตรา

รวมทั้งร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคประชาชน นำโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.ยื่นเสนอไว้

ทั้งนี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ของพรรค ปชน. มีสาระสำคัญคือ แก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม ที่กำหนดให้ใช้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ โดยตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และแทนที่ด้วยเสียงเห็นชอบจาก ส.ส.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทน

นอกจากนี้ ยังได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติก่อนการทูลเกล้าฯ ถวาย ในมาตรา 256(8) ในกรณีเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรรมนูญ เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระ เรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้

รวมถึงได้แก้ไขความในมาตรา 256(9) ที่กำหนดสิทธิให้ ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกทั้ง 2 สภารวมกันเข้าชื่อเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ชี้ว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นขัดต่อมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (8) เดิมใช้เกณฑ์เสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 แต่ได้ปรับลดเหลือ 1 ใน 5

ขณะที่หมวด 15/1 ซึ่งเพิ่มใหม่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น กำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ด้วยกติกาบัตร 2 ใบ แบ่งเป็นเลือกแบบเขต โดยสมัครในนามบุคคล จำนวน 100 คน ให้ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และเลือกแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง กำหนดให้การเลือกแบบบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครเป็น ส.ส. ต้องลงสมัครเป็นทีม ทีมละไม่น้อยกว่า 20 คน แต่ไม่เกิน 100 คน

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ก็ได้มีมติเตรียมยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เสนอประกบไปกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ของพรรคประชาชน

โดยมีหลักการสำคัญคือ การแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งหมดมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใต้หลักการสำคัญคือ ไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2

 

แต่ทว่า พลันที่บรรดาพรรคการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ได้เห็นเนื้อหาสาระของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ของพรรคประชาชน บางส่วนก็ได้เริ่มออกมาแสดงความเห็นลักษณะเชิงไม่เห็นด้วยกับร่างดังกล่าว โดยเฉพาะการเสนอให้ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และเพิ่มเติมด้วยเสียงเห็นชอบจาก ส.ส.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทน รวมถึงการตัดเงื่อนไขการนําไปออกเสียงประชามติ ก่อนการทูลเกล้าฯ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในมาตรา 256(8)

โดยเรื่องนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะผู้เสนอร่าง ออกมาชี้แจงถึงการเสนอร่างกฎหมาย พร้อมย้ำด้วยว่า ยินดีพูดคุยกับสมาชิกรัฐสภาให้ได้กว้างขวางที่สุด เพื่อให้ร่างดังกล่าวได้รับความเห็นชอบในวาระ 1 ริเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้สอดคล้องกับนโยบายพรรค ปชน. และรัฐบาล

แต่ทว่า การประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วม 3 ฝ่าย (วิป 3 ฝ่าย) ได้แก่ พรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว. เมื่อวันที่ 8 มกราคม ได้มีมติให้เลื่อนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเดิมวันที่ 14-15 มกราคม ออกไปอีก 1 เดือน เป็นวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568

 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ชี้แจงว่า ที่ประชุมเห็นว่าการแก้ไขทั้งฉบับต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบหลายด้าน จึงขอนำไปพิจารณาก่อน รวมถึงพรรคเพื่อไทยจะมีการยื่นร่างเข้ามาเพิ่มอีก และยังไม่ทราบว่าจะมีพรรคอื่นหรือภาคประชาชนจะเสนอเข้ามาด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ ที่มีการเลื่อนออกไป 1 เดือนนั้น เนื่องจากในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย พิจารณาร่วมกันว่าถ้าเราพิจารณาเสร็จเร็วหรืออย่างไรก็ตามก็ต้องรอกฎหมายประชามติที่ต้องรอ 180 วัน แต่ขณะนี้เหลือ 100 กว่าวัน ฉะนั้น จึงคิดว่าต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งก็ไม่ช้าเกินไป

“ส่วนจะได้เห็นรัฐธรรมนูญใหม่ในรัฐสภาชุดนี้หรือไม่ ยังไม่สามารถพูดได้ว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เพราะขั้นตอนขึ้นอยู่กับการประชุมร่วมรัฐสภา ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือรับหลักการและครั้งที่ 2 คือร่างที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ จะไปร่างอีกครั้ง รวมถึงประชาชนจะต้องออกเสียงประชามติอีก 2 ครั้ง ฉะนั้น จึงเป็นความหวังว่าน่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่หน้าตาเป็นอย่างไรยังพูดไม่ได้” นายวันมูหะมัดนอร์ระบุ

 

ขณะที่นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า ฝ่ายค้านมองว่าการเลื่อนออกไป 1 เดือนอาจจะช้าเกินไป ตอนแรกขอให้เลื่อนออกไปเพียง 2 สัปดาห์เพราะอยากให้มีการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการให้มากที่สุด ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญ จึงอยากให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่เมื่อทางวุฒิสภาอยากมีเวลาพิจารณาเพิ่มเติม จึงหาตรงกลาง

“จึงคิดว่าการเลื่อนออกไปก็ไม่ได้กระทบกับกรอบพระราชบัญญัติประชามติมากนัก แม้จะเห็นไม่ตรงกัน แต่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น “ประธานวิปฝ่ายค้านระบุ

อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ต่อไปอีก 1 เดือน คงต้องมารอลุ้นกันอีกครั้งว่าการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ซึ่งเป็นด่านแรก เปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การเปิดประตูการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

หรือสุดท้ายจะถูกยื้อเวลาออกไปแบบไม่มีกำหนดอีกครั้ง