ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | Agora |
ผู้เขียน | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ |
เผยแพร่ |
ปิดฉากลงไปแล้วสำหรับศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 โดยทีมชาติเวียดนามบุกมาคว้าแชมป์กลับฮานอยไปด้วยการเอาชนะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย 3:2 ถึงถิ่นราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 พร้อมกับดราม่าร้อนแรงตามมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการตัดสินที่น่ากังขาของกรรมการ
รวมทั้งประตูสุดสวยแต่เต็มไปด้วยข้อถกเถียงมากมายของ “เช็ค” สุภโชค สารชาติ มิดฟิลด์ชื่อดังของไทยจากสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร อันนำมาสู่วิวาทะเดือดเต็มโลกโซเชียล ทั้งจากบรรดาแฟนบอลและนักฟุตบอลเวียดนาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ราฟาเอลสัน เบเซอร์รา เฟอร์นันเดส” (Rafaelson Bezerra Fernandes) หรือ “เหงียน ซวน ซอน” (Nguy?n Xu?n Son) ดาวยิงเลือดบราซิลที่โอนสัญชาติมาเล่นให้ทัพดาวทองในทัวร์นาเมนต์นี้ ซึ่งต่างกับไทยที่ยอมรับเฉพาะนักเตะลูกครึ่งเท่านั้น เพราะสายเลือดไทยในตัวน่าภาคภูมิใจกว่า “รวยทางลัด” ด้วยการดึงนักเตะสายเลือดอื่น
แมตช์หยุดโลกระหว่างไทยกับเวียดนามซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เอล กลาซิโอ” (El Cl?sico) แห่งภูมิภาคอาเซียน จบลงโดยเวียดนามคว้าแชมป์สมัยที่สาม และเหงียน ซวน ซอน หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า “เซือน ซอน” หัวหอกแซมบ้าที่เพิ่งได้รับสัญชาติเวียดนามมาหมาดๆ พิชิตรางวัล MVP หรือผู้เล่นทรงคุณค่าประจำทัวร์นาเมนต์ (Most Valuable Player)
ในขณะที่ไทยยังคงหยุดสถิติการคว้าแชมป์เอาไว้ที่เจ็ดสมัย และ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา สตาร์หนุ่มวัย 22 ปี ที่คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปเป็นการปลอบใจ
แม้การแข่งขันจะจบลงที่ฝ่ายเวียดนามเป็นผู้สมหวัง แต่หลังเกมบรรดาแฟนบอลเวียดนามยังคงโหมกระหน่ำใส่โซเชียลมีเดียของนักฟุตบอลไทยและเพจฟุตบอลอาเซียนต่างๆ อย่างหนักหน่วง จากการที่สุภโชคทำประตูให้ทีมไทยด้วยการซัดไกลแทนที่จะส่งบอลกลับให้เวียดนาม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นผู้รักษาประตูเวียดนามโยนบอลออกข้างสนามเมื่อมีผู้เล่นเวียดนามนอนอยู่
ซึ่งแม้สุภโชคจะไม่ได้ทำผิดกติกาแต่อย่างใด ทว่า โดยทั่วไปแล้วถือเป็นธรรมเนียมว่าฝ่ายตรงข้ามควรส่งบอลคืนกลับให้ฝ่ายที่เคลียร์ลูกออก แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้นจึงเกิดการปะทะอารมณ์กันอย่างดุเดือดตามมา
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมร้อนแรงเกินขีดปกติไปไกล ก็เพราะการทำหน้าที่ของทีมผู้ตัดสินจากเกาหลีใต้ที่ค้านสายตาผู้ชมอย่างมาก และไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในสนามได้ ทำให้นักฟุตบอลตอบโต้กันเองอย่างรุนแรงราวกับอยู่ในสนามรบ
ตัวอย่างเช่น หลังเหตุการณ์ที่สุภโชคทำประตูที่สองให้ไทยได้ นักฟุตบอลเวียดนามก็หันมาเล่นงานสุภโชคอย่างเปิดเผยโดยผู้ตัดสินก็ปล่อยปละละเลย จนนำมาสู่การได้ใบเหลืองที่สองของ “เตอร์” วีระเทพ ป้อมพันธุ์ ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา
จากนั้นบรรยากาศในสนามก็ยิ่งตึงเครียดและเลวร้ายลงทุกขณะ
เสียงก่นด่ากรรมการขยายวงไปถึงการทำหน้าที่ของสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนหรือ AFF ด้วย เนื่องจากการเลือกทีมผู้ตัดสินจากเกาหลีใต้ที่มีสัญชาติเดียวกับ “คิม ซัง ซิก” เฮดโค้ชของเวียดนาม ซึ่งถูกมองว่าไม่เหมาะสมและอาจทำให้เกิดความไม่เป็นกลางได้
กรณีการตัดสินของกรรมการถูกตั้งคำถามมาก่อนหน้านี้แล้วจากบทบาทของผู้ตัดสินชาวกาตาร์ที่ทำหน้าที่ในนัดแรกที่เวียดนาม กระทั่งกลายมาเป็นวิกฤตมาตรฐานการตัดสินที่กรุงเทพฯ ในนัดที่สอง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่อง VAR ในรอบชิงชนะเลิศที่มีก็เหมือนไม่มี ไม่รวมกับนัดอื่นๆ อย่างเช่นที่มะนิลา ซึ่ง VAR เสียจนไม่สามารถใช้การได้ในระหว่างแข่งขัน
สมรภูมิฟุตบอลอาเซียนกลายเป็นสงครามระหว่างแฟนบอลสองชาติหนักขึ้นหลังการแข่งขันยุติไปแล้ว จากการถาโถมเข้ามาซัดกันนัวเนียในโลกโซเชียลตามแพลตฟอร์มต่างๆ เมื่อบอลจบแต่คนไม่จบ
พอเวียดนามไม่ยอมจบ ไทยก็โต้กลับ เกิดความเกลียดชังระหว่างกันจนคาดหมายว่าศึกฟุตบอลซีเกมส์ปลายปีนี้ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพคงเป็นยิ่งกว่าศึกแห่งศักดิ์ศรีแน่นอน แต่จะเป็นสงครามที่อุดมไปด้วยแรงแค้นอันร้อนแรงตามมา
เชื้อเพลิงที่โหมไฟให้คุโชนแม้นัดชิงจบลงไปหลายวันแล้วไม่ได้มาจากแฟนบอลแต่เพียงอย่างเดียว ทว่า มาจากสื่ออีกด้วย เมื่อสื่อต่างๆ ของเวียดนามยังคงขยี้ดราม่าเรื่องลูกยิงของสุภโชคอย่างต่อเนื่องทุกวัน พร้อมกับวาทะเผ็ดร้อนจากนักเตะเวียดนามรายต่างๆ
วาทะที่กระฉ่อนที่สุดมาจากเหงียน ซวน ซอน นั่นเอง จากการที่เขาไปคอมเมนต์ด่าสุภโชคในเพจ ASEAN United FC ใต้คลิปที่สุภโชคกับแฟนสาวกำลังกอดปลอบใจกันว่า “Idiot” หมายถึงไอ้งั่ง งี่เง่า น่าเกลียด ทุเรศ อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ไอ้โง่แบบที่หลายสื่ออ้าง เพราะการด่าในบริบทนี้ไม่เกี่ยวกับสติปัญญาอะไรเลย แต่เป็นลักษณะประณามหยามเหยียด ซึ่งทำให้แฟนบอลไทยเดือดดาลมาก
แต่ในอีกด้านหนึ่งซวน ซอนก็ได้ใจแฟนเวียดนามเข้าไปใหญ่ การเดินทางกลับฮานอยของเขาในครั้งนี้จึงได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษของชาติ และได้รับการยอมรับเป็นชาวเวียดนามเต็มตัว
ควันหลงจากเกมในสนามสะท้อนให้เห็นถึงการที่กีฬาเป็นมากกว่ากีฬา ทว่า เป็นสารพัดมิติ ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
และไม่อาจแยกขาดจากความเป็น “ชาตินิยม” ได้เลย
กีฬานั้นไม่ใช่แค่เกม แต่มีอิทธิพลที่กำหนดความสุขความทุกข์ของผู้คน ความสำเร็จหรือล้มเหลวของทีมชาติจึงผูกพ่วงอารมณ์ร่วมของประชาชนไปด้วย
กรณีไทยกับเวียดนามยิ่งเห็นได้ชัด เพราะสถานะของไทยในสายตาชาวเวียดนามไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงคู่ปรับตัวฉกาจด้านฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังเป็นคู่แข่งในทุกๆ เรื่อง
ดังนั้น ชัยชนะที่ทัพดาวทองมีต่อทีมช้างศึกจึงเป็นเรื่องใหญ่และมีความหมายมากกว่าที่หลายคนคิด ความพยายามโอนนักเตะต่างชาติของเวียดนามก็เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ และปูทางไปสู่ชัยชนะในสงครามนั่นเอง
ในขณะที่ชาวไทยจำนวนหนึ่งใช้เวลาไม่น้อยกับการทุ่มเถียงกันเรื่อง “ก้าวข้ามอาเซียน” แต่ชาวเวียดนามมุ่งมั่นจะคว้าบัลลังก์อาเซียนมาครองให้ได้แบบไม่ลังเล
แฟนบอลไทยหลายคนเสนอว่าให้ส่งเยาวชนไปแข่งแทน ราวกับว่ามาตรฐานฟุตบอลของไทยเหนือกว่าใครๆ แบบไม่เห็นฝุ่น ความคิดเช่นนี้ไม่น่าจะถูก อันที่จริงไทยควรก้าวข้ามอาเซียนในความหมายของการยกระดับมาตรฐานขึ้นไป ให้มีลุ้นกับฟุตบอลโลกและการันตีชัยชนะในอาเซียนได้ทุกรายการ หาใช่การดูถูกดูแคลนการแข่งขันในระดับภูมิภาคและไม่เตรียมพร้อมให้เต็มที่
ทีมชาติไทยไม่ว่าชุดใดก็ล้วนแข่งขันในฐานะตัวแทนประเทศ จึงต้องมีเป้าหมายพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้นพร้อมๆ กับรักษาแชมป์เดิมที่เคยได้ เหมือนที่ฟุตซอลชายกับวอลเลย์บอลหญิงเป็น โดยให้ความสำคัญกับทุกรายการอย่างมียุทธศาสตร์ ตลอดจนปรับตารางการแข่งขันให้สอดคล้องกันระหว่างลีกอาชีพกับทีมชาติ แบบไม่ต้องปิดลีกให้ทีมชาติอย่างที่เวียดนามทำ
ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ และมิใช่เอาแค่บางรายการแล้วละเลยบางรายการ แบบที่บางกลุ่มเสนอให้ส่งเยาวชนไปแข่งแทน ทั้งๆ ที่มีเวทีของเยาวชนมากมายอยู่แล้ว และการแข่งขันซีเกมส์ก็ใช้ทีมชุดอายุไม่เกิน 23 ปี จึงไม่มีความจำเป็นต้องส่งชุดเยาวชนไปแข่งขันซ้ำซ้อนกันอีก
นอกจากนั้น การแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนยังเป็นเวทีเดียวที่ฟุตบอลทีมชาติไทยมีลุ้นคว้าแชมป์อย่างแท้จริง ต่างกับระดับทวีปซึ่งได้แค่เข้าร่วม การนำความภาคภูมิใจมาให้คนในชาติจึงจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาในระดับรากฐานด้วย เพราะสองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกันจนต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง
ดังนั้น แนวทางที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลไทยวางไว้โดยให้ความสำคัญทุกทัวร์นาเมนต์
จึงเป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022