ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ลึกแต่ไม่ลับ |
ผู้เขียน | จรัญ พงษ์จีน |
เผยแพร่ |
นี่แหละ “แมวเก้าชีวิต” ตัวจริง ต้องยกให้เลย สำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ในวัย 75 ปี ตกจากต้นไม้ ระเบียงห้อง ตึกสูง มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้โดยสัญชาตญาณแมวจะมีทักษะยอดเยี่ยม กลับตัวกลางอากาศได้ เพราะกระดูกไขสันหลังและกระดูกไหปลาร้ามีความยืดหยุ่นได้ จึงสามารถบิดตัวได้มากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะตกลงมาจากที่ไหน ท่าใด แมวจึงกลับตัวจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ และแลนดิ้งลงพื้นได้อย่างปลอดภัย
แต่ “แมวที่ชื่อแม้ว” ตกจากที่ตึกสูง อันเกิดจากความผิดพลาดคึกคะนอง ลำพองตน ไล่จับหนูอย่างเพลิดเพลิน ไม่ดูตาม้าตาเรือ หล่นลงมาจากตึกสูงดุจลูกขนุน กรามหัก ขาเดี้ยง กะโหลกแตก กระดูกเชิงกรานชำรุด ปอดทะลุ ตับอักเสบ กระเพาะปัสสาวะแตก อาการสาหัสเจ็บหนักมากว่างั้นเถอะ… “แต่กลับไม่ตาย”
“แมวเก้าชีวิตชื่อทักษิณ” รอดปาฏิหาริย์มาได้อีกครั้ง แถมกลับมาภาคใหม่ ไม่รู้มีหมอดี หรือได้ยาดีมาจากไหน พกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เริ่มแสดงบทบาท ชิงการนำอย่างน่าจับตามอง ในทุกเรื่อง ทั้งการให้สัมภาษณ์ แสดงความคิดเห็น และยิ่งเพิ่มความเข้มข้น คึกคะนองมากขึ้น หลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่รับคำร้องที่ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ยื่นให้วินิจฉัยตามมาตรา 49 ในข้อกล่าวหา “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง โดยชี้ว่าไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอ และการกระทำยังไกลเกินเหตุ
“ทักษิณ” สัญจรไพรออกนอกประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 รอนแรมอยู่แดนไกลเป็นเวลานานถึง 17 ปี ได้เดินทางกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 แต่ไม่ได้มาตัวเปล่า กลับมารับโทษในฐานะผู้ต้องขัง ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 3 คดีเป็นเวลา 8 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือ 1 ปี และเพราะอายุสูงวัย บวกกับปัจจัยอื่นๆ ได้รับการพักโทษ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
หลังได้รับอิสระ กลับบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” จังหวะปะเหมาะพอดิบพอดีกับที่ “นายเศรษฐา ทวีสิน” โดนศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “นายเศรษฐา” สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 เนื่องจากไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติกรณีแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ต่อมามีการผลักดัน “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาว “ทักษิณ” ในฐานะบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ได้สำเร็จ
เป็นทายาทคนที่ 4 ของเครือข่ายตระกูลชินวัตร ที่ได้นั่งแท่นเก้าอี้หมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้า ต่อจาก “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
การที่ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวคนโปรดขึ้นลิฟต์สู่ทำเนียบนามนายกรัฐมนตรี “พ่อทักษิณ” อ่านหนังสือออกต้องรู้จักบทเรียนไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตัวเอง และอาๆ เลยประคบประคองดุจไข่ในหิน ค่อยๆ เข้ามามีบทบาท ด้วยกลวิธีแนะนำ ไม่ใช่ครอบงำ ประกอบกับจังหวะที่ “ลูกสาว” เข้ามารับไม้นั่งเก้าอี้นายกฯ คนที่ 31 มีปัญหารุมเร้าทุกภาคส่วน ไม่ว่าการเมือง ปากท้องประชาชน พายุเศรษฐกิจฟาดกระหน่ำ แต่ “แพทองธาร” ยังมือละอ่อน “พ่อ” (เลี้ยง) ต้องใช้ประสบการณ์อันโชกโชนเข้ามาช่วยเหลือในทุกรูปแบบและทุกกรณี จึงถูกมองว่า ประเทศไทยเหมือนมีนายกรัฐมนตรี 2 คน โดย “นิตินัย” มี “แพทองธาร” ดำรงตำแหน่ง แต่ “พฤตินัย” พ่อกดปุ่ม
เหมือนโชคชะตามาป๊ะกันพอดี “ทักษิณ” มีโอกาสได้คึกคักสุดขีดช่วงที่ “ลูกสาว” ดำรงตำแหน่งนายกฯ ถ้าช่วงนี้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ไม่โดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ “ศูนย์อำนาจ” ไม่สามารถแชร์กันได้ง่ายเหมือนลูกตัวเอง เข้ามายุ่งยาก ยุ่มย่ามอะไรมากไม่ได้
นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ท้ายๆ เดือนธันวาคมเป็นต้นมาแล้ว “ทักษิณ” ไม่รู้ไปโด๊ปดีหมีมาจากทุ่งไหน เมื่อก่อนเดินเจอภูเขา ก็เปลี่ยนเส้นทางเดินอ้อมบ้าง เลี้ยวบ้าง แต่หลังๆ ไม่หลบไม่เลี้ยว พร้อมเผชิญทุกอุปสรรค ชนกำแพงก็ไม่กลัว
ประกาศกร้าวให้ประจักษ์มามากมายหลายเรื่อง ท้าล้มกระดานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา และพม่า เสนอเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐกับทหารพม่า ขณะที่แนวคิด วิธีแก้ปัญหาสารพัด ก็กล้าหาญชาญชัย ไม่หวั่นงานเข้า ออกมาให้สัมภาษณ์ชี้นำออกสื่อ ทั้งปมดิจิทัลวอลเล็ต สถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยที่เข้าร่วมประชุม รับหน้าที่เป็นผู้กล่าวบรรยาย และแม้กระทั่งการประกาศลั่น จะต้องปรับคณะรัฐมนตรี เขี่ย “พรรคอีแอบ” ทิ้ง
“ทักษิณ” ไม่ได้เมายากันยุง ฮึกเหิมลำพอง คะนองตน หรืออีโก้จัด บ้าอำนาจ แต่สามารถพูดแล้วทำ จับต้องได้ ที่อวดสรรพคุณเชิงประจักษ์ได้ดีที่สุด คือการตะลอนทัวร์ออกเดินสายในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ให้กับผู้สมัครการเมืองท้องถิ่นของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ปรากฏว่า ที่ “ทักษิณ” ไปเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ชนะเรียบ ทั้งอุดรธานี และอุบลราชธานี ต้องรอดูศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศที่ค้างท่ออยู่ 47 จังหวัดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568
หาก “เพื่อไทย” ยึดหัวหาดได้ตามเป้า 14 ที่นั่งตามที่ประกาศ ถือว่า “ทักษิณ” มองเกมขาด จึงได้ประกาศอย่างอหังการเมื่อวันวานว่า “ขอยืนยันรัฐบาลจะอยู่ครบเทอม จะมีเลือกตั้งปี 2570 และเรา (เพื่อไทย) จะชนะถล่มทลาย ดังนั้น การเลือกตั้ง อบจ.ที่เพื่อไทยส่ง เราจะยึดกลับมาให้หมด เพื่อไทยจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุคไทยรักไทย”
ขณะที่ “ทักษิณ” ประกาศแกร่งเต็มถัง หันไปดูพรรคคู่แข่งที่ชื่อ “พรรคประชาชน” ที่ผ่านมาส่งผู้สมัครลงทำศึกชิงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ “นายก อบจ.” ชิมลางมาแล้ว 12 จังหวัด 12 ครั้ง ปรากฏว่า “พ่ายป่าราบ”
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 อีก 47 สนาม ถ้าไม่ได้มาประดับสักจังหวัด “หุ้นทักษิณ” พุ่งกระฉูดแน่นอน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022