ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ปี 2567 เป็นปีที่ใครต่อใครก็รีวิวชีวิตตัวเองว่าหนักกว่าทุกปี องค์กรสื่อส่วนใหญ่จบปีแบบกว่าจะได้กำไรก็หืดขึ้นคอ และองค์กรที่รอดปีนี้ก็เดินหน้าสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ในปีหน้า เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่สถานการณ์หนักจนแทบไม่มีใครพูดว่าปีที่แล้วเป็นปีที่ดี
ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้ตลาดหุ้นมาประเมินความเชื่อถือทางการเมืองและฝีมือทางเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ในเมื่อรัฐบาลนี้มักเอาตัวเลขวันหุ้นขึ้นมาคุยว่าผลงานรัฐบาลดี ผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดตรงๆ ว่าตัวเลขเปรียบเทียบระดับสิบปีไม่ได้บอกว่ารัฐบาลนี้ทำเศรษฐกิจดีเลย
สำหรับคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นปี 2567 เปิดและปิดที่ 1,370 กับ 1,380 หรือเท่ากับหนึ่งปีที่ตลาดหุ้นไม่โตขึ้นเลย ยิ่งกว่านั้นคือตลาดหุ้นต่ำลงต่อเนื่องหลังจากพุ่งสูงสุดช่วงเลือกตั้งปี 2566 ที่ 1,668 และยุคประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 1,700 หรือพูดง่ายๆ คือตลาดหุ้นยุคเพื่อไทยต่ำกว่ายุค คสช.
ล่าสุด ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 1,384.76 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี หุ้นไทยโดยเฉลี่ยราคาถูกที่สุดในรอบ 9 ปี และมูลค่ารวมตลาดหุ้นต่ำกว่ามูลค่า GDP ของประเทศ
ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยในยุคเพื่อไทยอ่อนแอจนนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในการลงทุนเลย
ความถดถอยของตลาดหุ้นสะท้อนความถดถอยของภาคการผลิตและบริโภคในไทย และถึงแม้ปี 2567 จะเป็นปีที่รัฐบาลแจกเงินหมื่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว150,000 ล้านบาท ตัวเลขเศรษฐกิจและบรรยากาศจริงๆ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างที่ทุกคนรู้กัน ยกเว้นจะถามจากคนที่อวยรัฐบาล
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเพื่อไทยปี 2567 เหมือนคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2563-2564 และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2552 ที่แจกเงินให้คนจับจ่าย แต่ปัญหาคือประเทศไทยหลังปี 2565 การเติบโตของการบริโภคไม่เท่ากับการเติบโตของภาคการผลิต พูดง่ายๆ คือการจับจ่ายใช้สอยไม่ทำให้การผลิตและการจ้างงานเหมือนเดิม
ยังไม่มีคำตอบให้สิ้นสงสัยว่าทำไมการบริโภคกับการผลิตของไทยไม่โตไปด้วยกัน แต่นักเศรษฐศาสตร์พรรคประชาชนและนักธุรกิจอีคอมเมิร์ซเก่งๆ หลายคนบอกว่าสินค้านำเข้าจากจีนเป็นสาเหตุหลักของเรื่องนี้ เพราะเมื่อคนใช้เงินซื้อสินค้าจีน การผลิตสินค้าในไทยก็ไม่โตขึ้นเลย
เมื่อการแจกเงินสร้างการผลิตไม่ได้ การจ้างงานและรายได้ของประชาชนก็ไม่เพิ่ม ยิ่งรัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแค่ 4 จังหวัดจากที่เคยบอกว่าจะขึ้นทั้งประเทศ เม็ดเงินในกระเป๋าประชาชนก็ยิ่งไม่เพิ่มขึ้นไปอีก ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่มีมากอยู่แล้วย่อมจะไม่มีทางลดลงเลย
สำหรับนายแบกรัฐบาลที่อาจอ้างว่าเศรษฐกิจไทยไม่โตเหมือนเพื่อนบ้านที่เศรษฐกิจไม่ดี ข่าวร้ายคือเศรษฐกิจสิงคโปร์ปีนี้โต 4% และเศรษฐกิจเวียดนามโต 7% ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้ ส่วนเศรษฐกิจไทยโตราวๆ 2-2.3% ซึ่งต่ำกว่าเป้าของรัฐบาลที่ 5% และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่ดีๆ
พอได้แล้วกับการอ้างว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีเหมือนเศรษฐกิจโลกและประเทศเพื่อนบ้านที่เศรษฐกิจไม่ดี เพราะประเทศอาเซียนที่เศรษฐกิจดีมีเยอะไป ขณะที่หลายประเทศในโลกก็เศรษฐกิจโตอย่างต่อเนื่อง การผลิตเติบโตขึ้น และการลงทุนในตลาดหุ้นได้กำไรมากกว่าขาดทุนหรือเท่าทุนอย่างไทย
รัฐบาลมักเข้าใจผิดว่าเศรษฐกิจโตจะทำให้คนไทยมีเงิน แต่วิธีที่ทำให้คนไทยมีเงินคือการเติบโตของภาคการผลิตและการจ้างงาน เพราะความเติบโตเศรษฐกิจอาจมาจากการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต่างชาติที่คนไทยไม่ได้อะไรก็ได้ รัฐจึงมีหน้าที่กระตุ้นการผลิต ไม่ใช่มองแค่การเติบโต
ประเทศไทยยุคเพื่อไทยมีนักธุรกิจและเจ้าสัวที่รวยขึ้น แต่ความรวยของนักธุรกิจที่รวยที่สุดมาจากการทำมาหากินในตลาดกึ่งผูกขาดที่องค์กรธุรกิจมีลักษณะ “อาณาจักร” ซึ่งทุกกิจการอยู่ในตลาดกึ่งผูกขาด ความรวยจึงไม่สะท้อนการเติบโตของประเทศเท่ากับความได้เปรียบการสร้างความรวย
คนไทยเลือกตั้งปี 2566 เพราะต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนเลือกก้าวไกลถล่มทลาย เช่นเดียวกับเลือกเพื่อไทยที่ยุคนั้นหาเสียงเรื่องประชาธิปไตย แต่เมื่อเพื่อไทยตั้งรัฐบาลข้ามขั้วกับรัฐบาลประยุทธ์ สิ่งที่รัฐบาลใหม่ทำคือขัดขวางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยอ้างว่าคนพอใจแค่มีกิน
ดีลลับของคุณทักษิณ ชินวัตร กับชนชั้นนำคือ De-Politicization ให้คนไทยเชื่องทางการเมือง พอใจระบอบที่มีการเลือกตั้งให้ครบๆ แต่ล็อกเก้าอี้นายกฯ เอาไว้ และเชื่อว่าคนจะหยุดคิดเรื่องประชาธิปไตยถ้ามีกิน แต่ความล้มเหลวของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจจะทำให้คนไทยไม่มีทางเชื่องอย่างที่ชนชั้นนำต้องการ
คำสัญญาของเพื่อไทยคือเลือกเศรษฐา ทวีสิน คนไทยจะเป็นเศรษฐี แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ คนไทยมีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เลือกเพื่อไทยแล้วคนไทยจะพากันรวย
แต่ถึงตอนนี้คำว่ารวยไกลเกินเอื้อม เอาแค่ไม่จนลง ไม่ตกงาน ไม่โดนลดโบนัสหรือค่าแรง ฯลฯ ก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ถือว่าได้ก็บุญแล้วทันที
การเมืองเป็นเรื่องมุมมอง และถึงคุณทักษิณจะบอกว่าปี 2568 คือปีแห่งการเริ่มฝันที่ทุกคนจะรวยในปี 2570 แต่คำพูดนี้ต่างจากคำโฆษณาปี 2566 ว่าเลือกเพื่อไทยรวยทันที ไม่ต้องพูดเรื่องมีกี่คนเชื่อรัฐบาล และมีกี่คนที่กล้ำกลืนความยากจนจากปี 2566 ไปลุ้นความรวยในปี 2570 ซึ่งไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน
ที่ผ่านมารัฐบาลสร้างโลกเสมือนจริง (Hyper-Reality) ว่าเศรษฐกิจไทยโตโดยงัดตัวเลขขอส่งเสริมการลงทุน, ปั่นโครงการขนาดใหญ่ หรือเจรจากลุ่มทุนใหญ่ต่างๆ โดยเฉพาะด้าน IT แต่ปัญหาคือทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าจะมีเงินมาลงทุนในไทยจริงๆ หรืออาจมีแต่ก็ลงทุนประเทศอื่นไปพร้อมกัน
คนไทยควรรู้ทันรัฐบาลว่าตัวเลขขอใบส่งเสริมการลงทุนไม่ใช่ตัวเลขการลงทุนจริงๆ ส่วนกลุ่มทุนใหญ่ที่บอกว่าจะมาลงทุนในไทยก็พูดเรื่องนี้พร้อมกับลงทุนในประเทศอื่นๆ ตัวอย่างเช่น NVIDIA ที่บอกว่าจะลงทุนไทยพร้อมกับลงทุนในเวียดนาม หรือกูเกิ้ลที่ทำแบบเดียวกันกับไทยและมาเลเซีย
ผมไม่ต้องการเสียเวลาถกเถียงว่าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยเก่งเศรษฐกิจหรือไม่เก่งจริง เหตุผลคือความเก่งหรือไม่เก่งเป็นเรื่องตัวบุคคลที่มีคนสนแค่กองเชียร์สายอวย แต่เศรษฐกิจที่ไม่โตแล้วสองปีและปี 2568 จะโตเต็มที่แค่ 2.9% คือข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นผลดีทางเศรษฐกิจและการเมืองกับใครเลย
หัวใจของดีลลับคือการใช้คุณทักษิณขุนให้ประชาชนพอใจแค่มีข้าวกินโดยไม่ต้องคิดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบที่ไปเลือกพรรคก้าวไกล และถึงแม้คุณทักษิณจะเป็นเพียงไพ่ใบหนึ่งเหมือนไพ่อื่นอย่างคุณอนุทิน ชาญวีรกูล และภูมิใจไทย คุณทักษิณก็มีจุดแข็งสองข้อที่ไพ่ใบอื่นไม่มีคือ มวลชนและผลงาน
มวลชนคุณทักษิณเพิ่มหรือไม่เป็นเรื่องที่เถียงไปก็น่ารำคาญ แต่ข้อเท็จจริงคือคุณทักษิณใช้ทุกเวทีขอให้คนเคยเลือกเพื่อไทยกลับมาเลือกอีก คนเสื้อแดงไปเลือกก้าวไกลมีมากจนเครือข่ายคุณทักษิณต้องโจมตีทุกครั้งที่มีโอกาส และตัวเลขคนเลือกเพื่อไทยเหลือแค่ 10 ล้านเสียงหรือต่ำที่สุดใน 23 ปี
สําหรับเศรษฐกิจไทยตอนนี้ดีหรือไม่ ลองล้วงเงินในกระเป๋า เปิดซองโบนัส ดูผลตอบแทนในตลาดหุ้น จำนวนตลาดที่เจ๊ง ร้านค้าห้องแถวที่ปิดกิจการ ดูผลกำไรธุรกิจที่ลดลง รายการโทรทัศน์ที่เลิก ฯลฯ ก็คงเห็นเองโดยไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน ยกเว้นแต่จะอวยรัฐบาลจนสติไม่ดี
ตรงข้ามกับคุณทักษิณที่บอกว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระ เศรษฐกิจปี 2568 ดี และเพื่อไทยจะได้ ส.ส.200 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ความเป็นจริงของประเทศบอกตรงข้ามว่ารัฐบาลอยู่ครบวาระยาก เศรษฐกิจปี 2568 ไม่ดีขึ้น และเพื่อไทยจะได้ ส.ส. 100 หรือครึ่งหนึ่งจากที่พูดไว้เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
อย่างดีที่สุดที่คนไทยหวังได้ในปี 2568 คือประเทศจะมีอะไรคืบหน้าบ้างทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ใช่เป็นอีกหนึ่งปีที่สูญเปล่าเหมือนกับที่สูญเปล่าไปในรอบสองปีที่ผ่านมา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022