ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อให้เกิดคำถามน่าสนใจขึ้นมาประการหนึ่งในแวดวงผู้สันทัดกรณีด้านกิจการระหว่างประเทศทั้งหลาย นั่นคือ สถานการณ์แบบเดียวกันกับที่เกิดในซีเรีย สามารถเกิดขึ้นในเมียนมาได้หรือไม่
รัฐบาลทหารเมียนมา ภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย จะล่มสลายลงทันตาเห็น ในทันทีที่ฝ่ายต่อต้านเคลื่อนกำลังเข้าคุกคามถึงเมืองหลวง แบบเดียวกับที่รัฐบาลเผด็จการของ บาชาร์ อัล อัสซาด ล่มสลายไปก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
ข้อสังเกตเบื้องต้นก็คือ สถานการณ์ของรัฐบาลทหารในเมียนมาในเวลานี้ ดูไปแล้วคลับคล้ายอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่รัฐบาลเผด็จการซีเรียเผชิญก่อนหน้าล่มสลาย
นั่นคือ อำนาจรัฐบาลทหารเมียนมา หดแคบลงเรื่อยๆ
นักวิเคราะห์บางคนถึงกับประเมินว่า กองทัพเมียนมา หลงเหลืออำนาจควบคุมแบบเบ็ดเสร็จเหนือหัวเมืองใหญ่น้อยอยู่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศเท่านั้น
ส่วนที่เหลือ หากไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายต่อต้าน หรืออยู่ระหว่างการสู้รบ ที่ฝ่ายรัฐบาลทหารกำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมโดยตรงจากรัฐบาลกลาง แต่อยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ที่คล้ายคลึงอย่างยิ่งอีกประการก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่ในเมียนมา เกลียดชังรัฐบาลทหารชุดนี้อย่างลึกซึ้ง
ทำนองเดียวกับที่คนซีเรีย ทั้งชิงชัง ทั้งหวาดผวาต่อรัฐบาลอัล อัสซาด
ปรากฏการณ์อย่างการหนีทหาร คือหลบหนีจากการควบคุมของกองทัพเมียนมา ตลอดจนถึงการแปรพักตร์ คือ หลบหนีจากกองทัพไปเข้าด้วยกับฝ่ายตรงกันข้าม เกิดขึ้นอย่างดกดื่น ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในช่วงใดของการปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการทหารในเมียนมา ที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960
ในขณะที่เศรษฐกิจของเมียนมาพังพาบลงกับพื้นโดยสิ้นเชิง เมื่อเงิน และข้าวปลาอาหาร ถูกเกณฑ์ไปประเคนให้กับทหารในกองทัพเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม แม้โดยผิวเผินแล้ว สถานการณ์ในเมียนมา มองดูแล้วคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย อันเป็นผลพวงจากสงครามกลางเมืองต่อเนื่องกันนานถึง 13 ปีอย่างยิ่ง
แต่เมื่อพิเคราะห์อย่างจริงจัง บริบทแวดล้อมหลายประการกลับแตกต่างกันอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น กลุ่มต่อต้านในซีเรียมีมากมายนับร้อยๆ กลุ่ม เช่นเดียวกับในเมียนมา ที่มากมายหลากหลายอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ต่างกันอย่างใหญ่หลวงก็คือ ระหว่างกลุ่มต่อต้านในเมียนมาด้วยกันนั้น มีอยู่มากมายไม่ใช่น้อยที่ในอดีตเคยจับอาวุธเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน การรวมตัวกันเพื่อต่อต้านและโค่นล้มรัฐบาลทหารเมียนมา เกิดขึ้นอย่างหลวมๆ อาศัยเพียงมีเป้าหมายเดียวกัน
แต่ไม่มีใคร หรือหลักประกันใดๆ มารับรองได้ว่า หากเป้าหมายเดียวกันนั้นบรรลุผล กลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในเมียนมาจะไม่หันมาเผชิญหน้ากันเองใหม่อีกครั้ง
เมียนมาไม่มีใครคนหนึ่งคนใดที่มีบารมีมากพอจนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มติดอาวุธสำคัญๆ ปรากฏให้เห็น ผู้ที่เคยเป็นศูนย์รวมของการต่อต้านเผด็จการในอดีตอย่าง ออง ซาน ซูจี ไม่เพียงเสียเครดิตไปมากมายจากการแสดงออกถึงการประนีประนอมกับกองทัพ เมื่อครั้งขึ้นครองอำนาจช่วงสั้นๆ ครั้งล่าสุดก่อนถูกรัฐประหารซ้ำเท่านั้น ยังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอเกินกว่าที่จะได้รับการยอมรับอย่างมีนัยสำคัญได้
ซูจีไม่เพียงอายุมากถึง 79 ปีแล้วเท่านั้น ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ และสุขภาพส่วนตัวย่ำแย่อย่างมากด้วยอีกต่างหาก
ความแตกต่างอย่างมากประการถัดมาก็คือ การตระหนักรู้และยอมรับต่อการต่อต้านรัฐบาลทหารในเมียนมา ไม่มากเท่าและแข็งแกร่งเท่ากับที่ประชาคมนานาชาติมีให้กับขบวนการต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย
ในกรณีของเมียนมา สิ่งที่พบเห็นได้เป็นประจำก็คือ การประกาศการแซงก์ชั่น และการประณามพฤติกรรมของรัฐบาลทหารเมียนมา
แต่การสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม อย่างเช่น การให้ความช่วยเหลือทางด้านการทหาร หรือการสนับสนุนทางการเงิน กลับมีจำกัดอย่างยิ่ง เทียบกันไม่ได้เลยกับการสนับสนุนที่กลุ่มต่อต้านในซีเรียเคยได้รับ
ประเทศมหาอำนาจที่เคยให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยในเมียนมาอย่างสหรัฐอเมริกา ยิ่งนับวันยิ่งให้ความสนใจเรื่องเมียนมาน้อยลงตามลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างประเทศในที่อื่นๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะในยุโรป (สงครามยูเครน) หรือในตะวันออกกลาง ด้วยเหตุที่ว่า ความขัดแย้งเหล่านี้มีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐอเมริกามากกว่าเหตุการณ์ในเมียนมานั่นเอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมอยู่โดยรอบเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นไทยก็ดี หรืออินเดีย รวมทั้งจีน ต่างมีความต้องการอยู่ลึกๆ ไม่อยากให้รัฐบาลทหารเมียนมาถูกโค่นล้ม
เพราะเกรงกันว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในเมียนมาก็คือ ความอลหม่านระดับกลียุคนองเลือด
เมื่อกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา หันหน้ามาทำสงครามซึ่งกันและกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ ซึ่งจะส่งผลให้คลื่นผู้อพยพชาวเมียนมาพากันหนีภัยสงคราม แตกฉานซ่านเซ็นออกไปทุกสารทิศ
ด้วยเหตุนี้ ประเทศอย่างอินเดีย ถึงได้ขายอาวุธและให้ความช่วยเหลืออีกบางประการต่อรัฐบาลทหารเมียนมา
ในขณะที่จีนร่วมมือกับรัสเซีย ให้ความช่วยเหลือทั้งขายอาวุธให้และให้การสนับสนุนทางการทูตและการสนับสนุนอื่นๆ
อาทิ เสนอแผนที่จะปฏิสังขรณ์สาธารณูปโภคด้านพลังงานให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาอีกด้วย
จีนไม่เพียงเล็งเห็นความสำคัญของการป้องกันไม่ให้เมียนมาตกสู่กลียุคเท่านั้น หากยังเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาในเวลานี้ แถมยังมีโปรเจ็กต์ลงทุนขนาดใหญ่ในเมียนมาหลายโปรเจ็กต์ ที่ไม่ต้องการให้ได้รับอันตรายหรือเกิดความเสียหายมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วย
สถานการณ์ในเมียนมา ยังคงแตกต่างอย่างใหญ่หลวงกับที่เกิดขึ้นในซีเรีย และคงต้องรอเวลาสุกงอมต่อไปอีกไม่น้อยแน่นอน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022