ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ถ้าเราอ่าน ดู และฟังข่าวสารบางเรื่อง ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเริ่มต้นปีใหม่ ที่ควรเต็มไปด้วยความหวัง อย่างน่าเป็นห่วงและหดหู่ใจ
ทั้งข่าว “หวังซิง” หรือ “ซิงซิง” นักแสดงชาวจีนที่โดนหลอกลวงโดย “แก๊งจีนเทา” ให้เดินทางมารับงานแสดงในประเทศไทย แต่สุดท้าย กลับถูกพาตัวข้ามแดนไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ที่คอลเซ็นเตอร์ในเมือง “ชเวโก๊กโก่” ฝั่งเมียนมา
แม้นักแสดงชาวจีนรายนี้จะได้รับการช่วยเหลือออกมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นกรณีใหญ่ แต่จริงๆ ยังมี “คนเล็กคนน้อย” กว่านี้ที่โดนหลอกลวงแบบเดียวกันอีกมากมาย และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ
พิสูจน์ได้จากเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ จำนวนมหาศาล ซึ่งโทร.มา “ต้มตุ๋น” เราๆ ท่านๆ ผ่านทางสมาร์ตโฟนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ ราวสัปดาห์แรกของปี 2568 ก็เกิดเหตุสังหาร “ลิม กิมยา” นักการเมือง-นักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชา ผู้มีจุดยืนตรงข้ามกับรัฐบาลในประเทศบ้านเกิด อย่างอุกอาจ ตรงพื้นที่ที่มีคนไทย-นักท่องเที่ยวหนาแน่นย่านบางลำภู และใกล้ๆ สถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างวัดบวรนิเวศวิหารฯ
ภายหลัง “ผู้มีอำนาจตัวจริง” ในประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่งออกมาประกาศ “ขู่” ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างจริงจังได้ไม่นาน (ไม่ถึงหนึ่งวัน)
ไม่ว่าเราจะเข้มงวดเคร่งครัดกับแนวคิดและหลักการเรื่องประชาธิปไตย, เผด็จการ, ชาตินิยม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม การมีคนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมใจกลางเขตเมืองเก่านั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอาชญากรรมนี้มีความข้องเกี่ยวกับอำนาจรัฐ (ไม่ว่าจะรัฐไหน)
สองเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจ ไม่อะเมซิ่ง ไม่ควรเอาไปคุยโวโอ้อวดต่อ ไม่เหมาะจะเอาไปใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นภาพลักษณ์หน้าตาของประเทศ กำลังบ่งบอกอะไรกับเรา?
คงพูดรวมๆ ได้ว่า ในขณะที่ด้านหนึ่ง “เศรษฐกิจไทย” ก็วางฐานอยู่บนอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ “การท่องเที่ยวและภาคบริการ” แต่อีกด้านหนึ่ง (ในบริบทเดียวกัน) บ้านเมืองของเราก็มีสภาพไม่ต่างจาก “บ้านป่าเมืองเถื่อน”
กล่าวคือ เมืองไทยเป็นสวรรค์ เป็นช่องทางทำกิน เป็นทางผ่านของบรรดามาเฟียต่างชาติสีเทา ที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งยังเกี่ยวพันและได้รับผลประโยชน์จากขบวนการค้ามนุษย์
ยิ่งกว่านั้น เมืองไทยยังเป็นนรกของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้มีจุดยืน-อุดมการณ์แตกต่างจากอำนาจรัฐในบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาและเธอ เพราะมีรูโหว่ช่องว่างที่นำไปสู่การลงมือกระทำอันตรายต่อชีวิตและความปลอดภัยของบุคคลเหล่านั้นได้ทุกเมื่อ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรากำลังตกอยู่ในสภาวะ “ระหว่างเขาควาย” ที่หวังว่าการเปิดประเทศรับคนต่างชาติโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง (และออกจากเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติต่างๆ) แบบหลวมๆ จะสร้าง “ผลได้” เป็นการเข้ามาจับจ่ายใช้สอยเม็ดเงินของบรรดานักท่องเที่ยว
ทว่า ไปๆ มาๆ วิธีการเดียวกันนี้กลับก่อให้เกิด “ผลเสีย” ที่อาจสร้างภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศไทย ในสายตาประชาคมนานาชาติเสียอย่างนั้น
ภาพของเมืองไทยที่เป็นดัง “แดนเถื่อน เมืองสีเทา ชุมชนของเหล่าอาชญากรนอกกฎหมาย”
จึงดูตัดกับภาพพลุไฟ แสง สี เสียง ตรงช่วงรอยต่อของวันสิ้นสุดปีเก่าและวันเริ่มต้นปีใหม่
ดูย้อนแย้งกับงานเคาต์ดาวน์ที่ระดมศิลปินเค-ป๊อป มาขึ้นเวทีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ดูไม่ค่อยลงรอยกับเป้าหมายนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปีนี้
และก็เป็นเหรียญอีกด้านของการเข้ามาลงทุนทำ “เดต้าเซ็นเตอร์” ของบรรษัทยักษ์ใหญ่ไอทีระดับโลก
นี่คือ “ขยะใต้พรม” ที่รัฐบาลและรัฐไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดสะสาง •
ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022